▼
ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้ วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ บนหลังคาบ้าน ขนาด 7 กิโลวัตต์
วัน/เดือน/ป ี ที่ทำการติดตั้ง : 2006
สถานที่ติดตั้ง : หมู่บ้านสาริน ถนนรังสิตนครนายก คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี
รายละ เอียดระบบฯ : เป็นบ้านที่ออกแบบและ ก่อสร้างโดย ศ. ดร. สุนทร บุญญาธิการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาบั ย เป็นบ้านประหยัดพลังง าน และมีแผงเซลล์แสงอาทิ ตย์ผลิตไฟฟ้าลบ
วัน/เดือน/ป
สถานที่ติดตั้ง : หมู่บ้านสาริน ถนนรังสิตนครนายก คลอง 5 จังหวัดปทุมธานี
รายละ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาบั
ความคิดเห็น
ชอบ▼
บ้านกล๊ม กลม นวัตกรรมสู้โลกร้อน
วินาทีนี้ ถ้าใครไม่รู้เรื่อง โลกร้อน คงต้องบอกว่า เชยมากๆ อย่างในงานแถลง ข่าว โฮมเวิร์ค เอ็กซ์โป ครั้งที่ 3 จัดโดยโฮมเวิร์ค และเพาเวอร์บาย ที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ ที่ไม่ยอมตกเทรนด์ นำนวัตกรรมใหม่ บ้านสู้โลกร้อน หรือ Eco-Sphere มาโชว์ด้วยนวัตกรรมแห่งโลกอนาคตของการอยู่อาศัยนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บ้านกล๊ม กลม เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติศ.ดร.สุนทร เล่าถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นบ้านกล๊ม กลม ว่าบ้านในปัจจุบันไม่ค่อยมีพื้นที่ในการปลูกต้นไม้มีแต่พื้นคอนกรีต พื้นปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นแห่งสะสมความร้อน ทั้งที่การปลูกต้นไม้มีประโยชน์มาก จึงได้คิดค้นบ้านประหยัดพลังงานขึ้น รูปแบบบ้านเป็นทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เมตร ตัวอาคารยกสูงจากพื้นดินโดยมีฐานรากคอนกรีดเพียงเสาเดียว เป็นบ้านที่ออกแบบให้สามารถใช้พลังงานแสง อาทิตย์ (Solar Cell) ภายในบ้านถูกออกแบบเป็น 2 ชั้น มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องนอน และห้องครัวเล็กๆ ในตัวเหตุผลที่ออกแบบบ้านเป็นทรงกลมเพราะต้องการลดพื้นที่ในการถูกแสง แดดกระทบโดยตรง เป็นบ้านกึ่งน็อคดาวน์ที่ใช้เวลาในการสร้างเพียง 7 วัน ป้องกันความร้อน ลม และแผ่นดินไหวได้ จากฐานรากคอนกรีตเพียงเสาเดียว ทําให้ มีพื้นที่ในการใช้ประโยชน์อื่นๆ เช่น ปลูกต้นไม้ จัดสวนและสนามหญ้า ซึ่งหลักการเบื้องต้นในการลดภาวะโลกร้อนคือการเพิ่มปริมาณต้นไม้ให้เยอะที่ สุดด้าน แหวน ปวริศา เพ็ญชาติ บอกว่า การช่วยลดภาวะโลกร้อนมีหลายวิธี อย่างตนเอง ช่วยด้วยวิธีการประหยัดพลังงาน เช่น น้ำ ไฟ และน้ำมัน และในอนาคตวางแผนไว้ว่าจะใช้ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ร่วมชมบ้านกล๊ม กลม
ชมบ้านนวัตกรรมใหม่ "Eco Sphere" หรือที่มีชื่อภาษาไทยว่า "บ้านกล๊มกลม"
รูปร่างหน้าตาของบ้านถือว่าล้ำยุคมากๆ ตัวโครงสร้างเป็น "เสาคอนกรีต" ความกว้าง 2.7 เมตรแท่งเดียวโผล่ขึ้นมาบนดิน ด้านบนของเสาเหล็กเป็นตัวบ้านที่ออกแบบเป็นทรงกลม (คล้ายลูกโบว์ลิ่ง) ผนังทำจากวัสดุ 3 ชั้น คือ โฟม ไฟเบอร์กลาส และแผ่นซีเมนต์บอร์ด ประกบกัน ทำให้ผนังบ้านมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้อย่างดี และมีพื้นที่บางส่วนเป็นกระจกเขียวตัดแสงที่มีคุณสมบัติกันความร้อนแต่ให้ แสงผ่านได้
ภายในตัวบ้านออกแบบเป็น 2 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 45 ตร.ม. แปลนบ้านคร่าวๆ ที่ออกแบบไว้คือ ชั้นล่าง เป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว ส่วนชั้นบน เป็นห้องนอน และห้องน้ำ ทุกอย่างใช้วัสดุแนวประหยัดพลังงาน อาทิ สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ สีสะท้อนความร้อน ฯลฯ
ความแปลกของบ้าน Eco Sphere ไม่ได้อยู่แค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่ "ดร.สุนทร" เจ้าของผลงานเคลมว่า มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 10 ตร.ม. ซึ่งผลิตกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 5 หน่วยต่อวัน เพียงพอรองรับการอยู่อาศัยตลอด 1 วัน รวมถึง การเปิดแอร์ด้วย
"Eco Sphere ถือเป็นบ้านที่พัฒนาต่อ ยอดแนวความคิดจากบ้านชีวาทิตย์ ที่เราออกแบบให้ไม่ต้องซื้อไฟฟ้าและน้ำประปาก็สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์และกักเก็บน้ำจากความชื้นในอากาศ ที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำในตอนเช้า โดยน้ำทั้งหมดจะถูกบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่" ดร.สุนทรขยายความ
บ้านแนวคิดใหม่นี้ไม่ใช่ความฝัน แต่เคาะราคาขายจริง 1.3 ล้านบาท พร้อม เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งพร้อม อาทิ ที่นอน พื้นไม้ ลามิเนต ฯลฯ และเงื่อนไขว่าต้อง มีที่ดินเริ่มต้นที่ 10 ตร.ว. ก็สามารถสร้างบ้านได้
ยุบข้อความนี้ลบ
วินาทีนี้ ถ้าใครไม่รู้เรื่อง โลกร้อน คงต้องบอกว่า เชยมากๆ อย่างในงานแถลง ข่าว โฮมเวิร์ค เอ็กซ์โป ครั้งที่ 3 จัดโดยโฮมเวิร์ค และเพาเวอร์บาย ที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ ที่ไม่ยอมตกเทรนด์ นำนวัตกรรมใหม่ บ้านสู้โลกร้อน หรือ Eco-Sphere มาโชว์ด้วยนวัตกรรมแห่งโลกอนาคตของการอยู่อาศัยนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บ้านกล๊ม กลม เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติศ.ดร.สุนทร เล่าถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นบ้านกล๊ม กลม ว่าบ้านในปัจจุบันไม่ค่อยมีพื้นที่ในการปลูกต้นไม้มีแต่พื้นคอนกรีต พื้นปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นแห่งสะสมความร้อน ทั้งที่การปลูกต้นไม้มีประโยชน์มาก จึงได้คิดค้นบ้านประหยัดพลังงานขึ้น รูปแบบบ้านเป็นทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เมตร ตัวอาคารยกสูงจากพื้นดินโดยมีฐานรากคอนกรีดเพียงเสาเดียว เป็นบ้านที่ออกแบบให้สามารถใช้พลังงานแสง อาทิตย์ (Solar Cell) ภายในบ้านถูกออกแบบเป็น 2 ชั้น มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องนอน และห้องครัวเล็กๆ ในตัวเหตุผลที่ออกแบบบ้านเป็นทรงกลมเพราะต้องการลดพื้นที่ในการถูกแสง แดดกระทบโดยตรง เป็นบ้านกึ่งน็อคดาวน์ที่ใช้เวลาในการสร้างเพียง 7 วัน ป้องกันความร้อน ลม และแผ่นดินไหวได้ จากฐานรากคอนกรีตเพียงเสาเดียว ทําให้ มีพื้นที่ในการใช้ประโยชน์อื่นๆ เช่น ปลูกต้นไม้ จัดสวนและสนามหญ้า ซึ่งหลักการเบื้องต้นในการลดภาวะโลกร้อนคือการเพิ่มปริมาณต้นไม้ให้เยอะที่ สุดด้าน แหวน ปวริศา เพ็ญชาติ บอกว่า การช่วยลดภาวะโลกร้อนมีหลายวิธี อย่างตนเอง ช่วยด้วยวิธีการประหยัดพลังงาน เช่น น้ำ ไฟ และน้ำมัน และในอนาคตวางแผนไว้ว่าจะใช้ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ร่วมชมบ้านกล๊ม กลม
ชมบ้านนวัตกรรมใหม่ "Eco Sphere" หรือที่มีชื่อภาษาไทยว่า "บ้านกล๊มกลม"
รูปร่างหน้าตาของบ้านถือว่าล้ำยุคมากๆ ตัวโครงสร้างเป็น "เสาคอนกรีต" ความกว้าง 2.7 เมตรแท่งเดียวโผล่ขึ้นมาบนดิน ด้านบนของเสาเหล็กเป็นตัวบ้านที่ออกแบบเป็นทรงกลม (คล้ายลูกโบว์ลิ่ง) ผนังทำจากวัสดุ 3 ชั้น คือ โฟม ไฟเบอร์กลาส และแผ่นซีเมนต์บอร์ด ประกบกัน ทำให้ผนังบ้านมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้อย่างดี และมีพื้นที่บางส่วนเป็นกระจกเขียวตัดแสงที่มีคุณสมบัติกันความร้อนแต่ให้ แสงผ่านได้
ภายในตัวบ้านออกแบบเป็น 2 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 45 ตร.ม. แปลนบ้านคร่าวๆ ที่ออกแบบไว้คือ ชั้นล่าง เป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องครัว ส่วนชั้นบน เป็นห้องนอน และห้องน้ำ ทุกอย่างใช้วัสดุแนวประหยัดพลังงาน อาทิ สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ สีสะท้อนความร้อน ฯลฯ
ความแปลกของบ้าน Eco Sphere ไม่ได้อยู่แค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่ "ดร.สุนทร" เจ้าของผลงานเคลมว่า มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 10 ตร.ม. ซึ่งผลิตกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 5 หน่วยต่อวัน เพียงพอรองรับการอยู่อาศัยตลอด 1 วัน รวมถึง การเปิดแอร์ด้วย
"Eco Sphere ถือเป็นบ้านที่พัฒนาต่อ ยอดแนวความคิดจากบ้านชีวาทิตย์ ที่เราออกแบบให้ไม่ต้องซื้อไฟฟ้าและน้ำประปาก็สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์และกักเก็บน้ำจากความชื้นในอากาศ ที่ควบแน่นเป็นหยดน้ำในตอนเช้า โดยน้ำทั้งหมดจะถูกบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่" ดร.สุนทรขยายความ
บ้านแนวคิดใหม่นี้ไม่ใช่ความฝัน แต่เคาะราคาขายจริง 1.3 ล้านบาท พร้อม เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งพร้อม อาทิ ที่นอน พื้นไม้ ลามิเนต ฯลฯ และเงื่อนไขว่าต้อง มีที่ดินเริ่มต้นที่ 10 ตร.ว. ก็สามารถสร้างบ้านได้
ยุบข้อความนี้ลบ
Thai Environment Website
ความคิดเห็น
ชอบ▼
รศ.ดร.วรสัณฑ์ บูรณากาญจน์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ออกแบบพิเศษสร้างเสร็จเร็ว 90 วัน ลดค่าไฟฟ้าถึง 3 เท่า ใช้เวลาเพียง 90 วัน ก็สามารถสร้างบ้านพอเพียงได้ 1 หลังที่มีขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพระ 1 ห้อง รับแขก และ 1 ห้องรับประทานอาหาร บนพื้นที่ใช้สอยราว 140 ตารางเมตร ส่วนค่าก่อสร้างหลังเล็กประมาณ 5 แสนบาท แบบสองชั้นประมาณ 1.5 ล้านบาท
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและความชื้นเข้าสู่ตัวอาคารจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของบ้านพอเพียง ผนังบ้านทั้งหมดจึงใช้วัสดุเม็ดโฟมคอนกรีตที่ทำจากโฟมรีไซเคิล มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ต้านทานแรงลมได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นฉนวนกันความร้อนและความชื้นได้ดีกว่าผนังอิฐมวลเบาหรือก่ออิฐฉาบปูน 10-12 เท่า
ประตูและหน้าต่างทุกบานเป็นกระจกให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้าสู่ตัวบ้านและลดการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน โดยใช้กระจกลามิเนตติดฟิล์มป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต (ยูวี) และมีคุณสมบัติเดียวกับกระจกรถยนต์ คือ ไม่แตกง่าย เมื่อแตกแล้วเศษกระจกจะไม่กระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรอบประตูและหน้าต่างทำจากพลาสติกยูพีวีซีที่แข็งแรง ทนทานต่อรังสียูวีมากกว่าพีวีซีธรรมดา และมีระบบล็อคหลายจุดที่มีความปลอดภัยต่อการงัดแงะสูงกว่า
หลังคาเป็นระบบผสมผสานโครงสร้าง ฝ้าเพดาน และคุณสมบัติฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีกว่าหลังคากระเบื้องคอนกรีตถึง 24 เท่า โดยไม่ต้องมีโครงสร้างขื่อและแป จึงสร้างได้รวดเร็ว น้ำหนักเบากว่า 10 เท่า ไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึม และสามารถใช้พื้นที่ภายในใต้หลังคาได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียง 90 วัน ก็สามารถสร้างบ้านพอเพียงได้ 1 หลังที่มีขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพระ 1 ห้องรับแขก และ 1 ห้องรับประทานอาหาร บนพื้นที่ใช้สอยราว 140 ตารางเมตร และมีน้ำหนักอาคารลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับบ้านทั่วไปขนาดเดียวกันที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างนาน 240-360 วัน
บ้านพอเพียงติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 บีทียู แค่เครื่องเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้บ้านทั้งหลังเย็นสบาย เพราะใช้ระบบท่อกระจายความเย็นถึงทุกห้องภายในบ้าน สามารถเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เปลืองไฟ และทำให้ในบ้านมีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียสตลอดปี เพราะผนังและหลังคาบ้านที่มีคุณสมบัติกันความร้อนได้ดี และการปรับสภาพแวดล้อมภายนอกบ้านให้มีอุณหภูมิต่ำลงกว่าปกติ ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 60%
นอกจากช่วยประหยัดพลังงานแล้ว อุณหภูมิภายในบ้านพอเพียงยังค่อนข้างคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย มีอากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และไม่มีรังสียูวีเล็ดลอดเข้าสู่ในบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย
ยุบข้อความนี้ลบ
ออกแบบพิเศษสร้างเสร็จเร็ว 90 วัน ลดค่าไฟฟ้าถึง 3 เท่า ใช้เวลาเพียง 90 วัน ก็สามารถสร้างบ้านพอเพียงได้ 1 หลังที่มีขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพระ 1 ห้อง รับแขก และ 1 ห้องรับประทานอาหาร บนพื้นที่ใช้สอยราว 140 ตารางเมตร ส่วนค่าก่อสร้างหลังเล็กประมาณ 5 แสนบาท แบบสองชั้นประมาณ 1.5 ล้านบาท
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและความชื้นเข้าสู่ตัวอาคารจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของบ้านพอเพียง ผนังบ้านทั้งหมดจึงใช้วัสดุเม็ดโฟมคอนกรีตที่ทำจากโฟมรีไซเคิล มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ต้านทานแรงลมได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นฉนวนกันความร้อนและความชื้นได้ดีกว่าผนังอิฐมวลเบาหรือก่ออิฐฉาบปูน 10-12 เท่า
ประตูและหน้าต่างทุกบานเป็นกระจกให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้าสู่ตัวบ้านและลดการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน โดยใช้กระจกลามิเนตติดฟิล์มป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต (ยูวี) และมีคุณสมบัติเดียวกับกระจกรถยนต์ คือ ไม่แตกง่าย เมื่อแตกแล้วเศษกระจกจะไม่กระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรอบประตูและหน้าต่างทำจากพลาสติกยูพีวีซีที่แข็งแรง ทนทานต่อรังสียูวีมากกว่าพีวีซีธรรมดา และมีระบบล็อคหลายจุดที่มีความปลอดภัยต่อการงัดแงะสูงกว่า
หลังคาเป็นระบบผสมผสานโครงสร้าง ฝ้าเพดาน และคุณสมบัติฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีกว่าหลังคากระเบื้องคอนกรีตถึง 24 เท่า โดยไม่ต้องมีโครงสร้างขื่อและแป จึงสร้างได้รวดเร็ว น้ำหนักเบากว่า 10 เท่า ไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึม และสามารถใช้พื้นที่ภายในใต้หลังคาได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียง 90 วัน ก็สามารถสร้างบ้านพอเพียงได้ 1 หลังที่มีขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพระ 1 ห้องรับแขก และ 1 ห้องรับประทานอาหาร บนพื้นที่ใช้สอยราว 140 ตารางเมตร และมีน้ำหนักอาคารลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับบ้านทั่วไปขนาดเดียวกันที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างนาน 240-360 วัน
บ้านพอเพียงติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 บีทียู แค่เครื่องเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้บ้านทั้งหลังเย็นสบาย เพราะใช้ระบบท่อกระจายความเย็นถึงทุกห้องภายในบ้าน สามารถเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เปลืองไฟ และทำให้ในบ้านมีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียสตลอดปี เพราะผนังและหลังคาบ้านที่มีคุณสมบัติกันความร้อนได้ดี และการปรับสภาพแวดล้อมภายนอกบ้านให้มีอุณหภูมิต่ำลงกว่าปกติ ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 60%
นอกจากช่วยประหยัดพลังงานแล้ว อุณหภูมิภายในบ้านพอเพียงยังค่อนข้างคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย มีอากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และไม่มีรังสียูวีเล็ดลอดเข้าสู่ในบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย
ยุบข้อความนี้ลบ
สภาวิจัยแห่งชาติหนุน 4 ล้านให้จุฬาฯสร้างตัวอย่างบ้านพอเพียงสำหรับผู้มีรายได้ปานกลาง ออกแบบพิเศษสร้างเสร็จเร็ว 90 วัน ลดค่าไฟฟ้าถึง 3 เท่า - หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
บ้าน คือที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุขทั้งทางกายและทางใจ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่าและทันสมัยยิ่งขึ้น บ้านในยุคนี้ต้องช่วยเจ้าของบ้านประหยัดพลังงานได้ และทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีอายุยืนยาวขึ้นด้วย...
ความคิดเห็น
ชอบ▼
บ้านประหยัดพลังงาน
20 แม่ไม้สำคัญ ในการเลือกบ้านประหยัดพลังงาน
1. อย่าใส่แหล่งความร้อน(ลานคอนกรีต)ในบ้าน
ภายในบริเวณบ้านไม่ควรมี ลานคอนกรีตในทิศทางรับแสงแดดจัด เช่น ทิศใต้และทิศตะวันตก เนื่องจากในเวลากลางวันคอนกรีตจะกลายเป็นมวลสารสะสมความร้อน (Thermal mass)
มีการสะสมความร้อนไว้ใน เวลากลางวันในปริมาณมาก ด้วยคุณสมบัติการนำความร้อนของวัสดุและจะถ่ายเทความร้อนกลับสู่บ้านของท่าน ในเวลากลางคืน จึงทำให้สภาพแวดล้อมของบ้านและตัวบ้านมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วย การจัดวางตำแหน่งพื้นคอนกรีตเพื่อเป็นที่จอดรถยนต์หรือชานหรือระเบียงที่ดี ควรเลือกวางในทิศที่ไม่ถูกแสงแดดมาก เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออกและควรมีร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดปริมาณแสงแดด
2. รั้วบ้าน...ต้องโล่ง...โปร่ง...สบาย
รั้วบ้านไม่ควรออกแบบให้มีลักษณะทึบตัน เนื่องจากรั้วทึบจะกีดขวางการเคลื่อนที่ของลมเข้าสู่ตัวบ้านทำให้ภายในตัว บ้านอับลมนอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำรั้วบางชนิด เช่น อิฐมอญ คอนกรีต เสริมเหล็ก คอนกรีตบล็อก ยังมีคุณสมบัติสะสมความร้อนไว้ในตัวเองในเวลากลางวันและคายกลับสู่สภาพแวด ล้อมและตัวบ้าน ในเวลากลางคืน
3. อย่าลืม!!ต้นไม้ให้ร่มเงา
การปลูก ต้นไม้ในบริเวณบ้านนอกจากจะสร้างความร่มรื่นและความสดชื่นสบายตาสบายใจแก่ ผู้อาศัยในบ้านแล้วใบไม้หลากรูปทรงและสีสันที่แผ่กิ่งก้านสาขายังสามารถลด แสงแดดที่ตกกระทบตัวบ้านและให้ร่มเงาที่ร่มเย็นแก่ผู้อยู่อาศัยได้เป็น อย่างดีนอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายยังช่วยลดความร้อนจากสภาพแวดล้อม ด้วยการคายไอน้ำผ่านทางปากใบได้อีกด้วยซึ่งควรพิจารณาตำแหน่งการปลูกต้นไม้ ใหญ่น้อยในบริเวณบ้านให้สัมพันธ์กับร่มเงาที่เกิดขึ้นกับตัวบ้านไว้ล่วงหน้า
ข้อควรระวัง! การปลูกไม้ใหญ่ใกล้บ้านเกินไป ต้องระวังรากของต้นไม้ใหญ่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของบ้านจึงควรดูความเหมาะสมของชนิดต้นไม้
4. ก่อนสร้าง อย่าลืม!!! พื้นชั้นล่างปูแผ่นพลาสติก
บ้านพักอาศัยทั่วไปในปัจจุบันทั้งชั้น ล่างและชั้นบนมักติดตั้ง เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นและลดความชื้นภายในพื้นที่ กันเป็นจำนวนมาก การเตรียมการก่อสร้างบ้านในส่วนโครงสร้างพื้นชั้นล่างควรปูแผ่นพลาสติก เพื่อป้องกัน ความชื้นที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ซึ่งเป็นผลให้มีความเสียหายที่วัสดุปูพื้นชั้นล่าง และประเด็นที่สำคัญด้านพลังงานคือเกิดการสะสมความชื้นภายในพื้นที่ชั้นล่าง ของตัวบ้านเป็นที่มาของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นใน ที่สุด สิ่งที่ควรระวังระหว่างการก่อสร้างส่วนดังกล่าว คือ การฉีกขาดเสียหาย ของพลาสติกเนื่องจากเหล็กที่ใช้ในระหว่างการก่อสร้าง จึงต้องมีการเตรียมก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเช่นกัน
5. หันบ้านให้ถูกทิศ(ลม-แดด-ฝน) จิตแจ่มใส
การออกแบบบ้านเรือนในประเทศไทยไม่ควรหลง ลืมปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการถ่ายเทความร้อนสู่ตัวบ้าน นั่นคือส่วนใหญ่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทางทิศใต้(แดดอ้อมใต้)เป็นเวลา 8-9 เดือนและด้วยมุมกระทำของดวงอาทิตย์ต่อพื้นโลกมีค่าน้อย (มุมต่ำ) จึงทำให้การป้องกันแสงแดดทำได้ยากเป็นผลให้ทิศทางดังกล่าวได้รับอิทธิพลจาก แสงแดดรุนแรงเกือบตลอดปี การวางตำแหน่งบ้านและการออกแบบ รูปทรงบ้านที่ดีต้องหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดในทิศดังกล่าวนอกจากนี้ลมประจำ (ลมมรสุม)ที่พัดผ่านประเทศไทยมีทิศทางชัดเจนจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน และพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาวการวางผังบ้านและทิศทางตำแหน่งช่อง หน้าต่างเพื่อระบายความร้อนในบ้าน จึงต้องคำนึงถึงทิศทางกระแสลมเหล่านี้เป็นสำคัญอีกด้วย
6. มีครัวไทยต้องไม่เชื่อมติดตัวบ้าน
การทำครัวแบบไทย นอกจากจะได้อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนถูกปากคนไทยแล้วยังก่อให้เกิดความร้อนสะสม ขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณมากอีกด้วย อันเนื่องมาจากอุปกรณ์และกิจกรรมการทำครัวต่างๆซึ่งแตกต่างจากครัวฝรั่งโดย สิ้นเชิงความร้อนที่เกิดขึ้นในห้องครัวที่ติดกับตัวบ้านจะสามารถถ่ายเทเข้า สู่พื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็วในลักษณะสะพานความร้อน (Thermal Bridge) และหากห้องติดกันเป็นพื้นที่ปรับ อากาศจะยิ่งสิ้นเปลืองพลังงานในการทำความเย็นของห้องดังกล่าวมากขึ้นโดยใช่ เหตุ แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมระหว่างห้องครัวกับตัวบ้าน เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น
7.ประตูหน้าต่างต้องมีทางลมเข้าออก
การ ระบายความร้อนภายในบ้านโดยใช้ลมธรรมชาติพัดผ่านหน้าต่าง ภายในห้องต้องมีช่องทางให้ลมเข้าและลมออกได้อย่างน้อย 2 ด้านมิฉะนั้นลมจะไม่สามารถไหลผ่านได้และสิ่งที่ดีที่สุดคือการออกแบบให้ช่อง หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันและมีขนาดใหญ่เท่าเทียมกันจะทำให้การระบายความร้อน เกิดขึ้นมากที่สุด นอกจากนี้การวางตำแหน่งช่องหน้าต่างต้องตอบรับทิศทางการเคลื่อนที่ของลม ประจำด้วยแต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าลมที่นำเข้าสู่อาคารต้องทำให้เป็นลมเย็น เสียก่อนจึงจะทำให้การลดความร้อนมีประสิทธิผล
การออกแบบให้ลมไหลผ่านตัวบ้านได้ดีมีข้อควรระวังได้แก่
1.ต้องติดตั้งมุ้งลวดเพื่อกรองฝุ่นละอองเกสรที่จะเข้าบ้าน
2.การติดช่องหน้าต่างในตำแหน่งเยื้องกันจะช่วยบังคับให้ลมไหลผ่านห้องต่าง ๆ ตามตำแหน่งที่ต้องการได้
8. ผังเฟอร์นิเจอร์ต้องเตรียมไว้ก่อน ไม่ร้อนและประหยัดพลังงาน
บ้านที่ดีควรมีการจัดวางผังเฟอร์นิเจอร์ ในแต่ละห้องไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการจัดเตรียมตำแหน่งติดตั้ง ปลั๊ก สวิทช์ ไว้ให้ เพียงพอสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในบ้าน นอกจากนี้การเตรียมการดังกล่าวไว้ล่วงหน้าจะตรวจสอบได้ว่าตำแหน่งใดในบ้านมี เฟอร์นิเจอร์วางกีดขวางการเคลื่อนที่ของกระแสลมหรือไม่หรือตอบรับแสงสว่าง ธรรมชาติและกระแสลมธรรมชาติมากน้อยเพียงใดและควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไรให้ดี ขึ้น ควรแยกอุปกรณ์ที่จะสร้างความร้อนออกนอกห้องปรับอากาศ เช่น ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำ
9. อย่า!!!มีบ่อน้ำหรือนำพุในห้องปรับอากาศ
คุณสมบัติทางอุณหภูมิของเครื่องปรับ อากาศ คือ การลดอุณหภูมิและความชื้น ทำให้พื้นที่ห้องต่าง ๆ อยู่ในสภาวะสบาย ซึ่งการตกแต่งประดับพื้นที่ภายในห้องด้วยน้ำพุ น้ำตก อ่างเลี้ยงปลา หรือแจกันดอกไม้ ย่อมทำให้ภายในห้องมีแหล่งความชื้นเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นและทำให้เครื่อง ปรับอากาศต้องใช้พลังงานในการลดความชื้นมากกว่าปกติ
10. ช่องอากาศที่หลังคาพาคลายร้อน...
หลังคาที่ดีนอกจากจะสามารถคุ้มแดดคุ้มฝน ได้ ยังต้องมีคุณสมบัติ ในการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้อีกด้วย ภายในช่องว่างใต้หลังคา เป็นพื้นที่เก็บกักความร้อนที่แผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ก่อนถ่ายเทเข้าสู่ พื้นที่ส่วนต่างๆภายในบ้านดังนั้นการออกแบบให้มีการระบายอากาศ (ร้อน) ภายในหลังคาออกไปสู่ภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องลมบริเวณจั่วหลังคาหรือระแนงชายคาจึงเป็นเรื่องที่ดีต่อการ ลดความร้อนในบ้าน แต่พึงระวังให้การระบายอากาศร้อนดังกล่าวอยู่เหนือฉนวนภายในฝ้าเพดาน มิฉะนั้นความร้อน จะสามารถถ่ายเทลงสู่ตัวบ้านได้อยู่ดี
ข้อควรระวัง คือ
1. ต้องมีการติดตั้งตาข่ายป้องกันนก แมลง เข้าไปทำรังใต้หลังคาด้วย
2. ต้องมีการป้องกันฝนเข้าช่องเปิดระบายอากาศด้วย
11. ต้องใส่"ฉนวน"ที่หลังคาเสมอ
ฉนวนกันความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถ กั้นหรือป้องกัน ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงแดดไม่ให้เข้าสู่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นจากส่วนผนังหรือหลังคาบ้าน แต่ช่องทางที่ความร้อนจากแสงแดดถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านได้มากที่สุดในเวลากลาง วันคือพื้นที่หลังคา ดังนั้นการลดความร้อนจาก จากพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการใช้ฉนวนซึ่งมีรูปแบบและการติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับการใช้งานจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการลดการใช้พลังงานภายใน บ้าน
12. กันแสงแดดดีต้องมีชายคา
กันสาดหรือชายคาบ้านเป็นอุปกรณ์ที่มี ความสำคัญกับอาคาร บ้านเรือนในเขตร้อนเช่นประเทศไทย เนื่องจากมีคุณสมบัติการ ป้องกันแสงแดด(ความร้อน)ไม่ให้ตกกระทบผนังและส่องผ่านเข้าสู่ช่องแสงและ หน้าต่างได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ตำแหน่ง และทิศทางการติดตั้งกันสาดที่มีความจำเป็นมากที่สุด คือ ด้านที่มีแสงแดดรุนแรง ได้แก่ ทิศใต้และทิศตะวันตก นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการของการติดตั้งชายคาและกันสาด คือ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันฝนเข้าสู่ ตัวบ้านอีกด้วย
13. ห้องไหนๆติดเครื่องปรับอากาศ อย่าลืมติดฉนวน
การลดภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับ อากาศที่สำคัญ คือ ลดความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านและพื้นที่ใช้สอย ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนในพื้นที่ห้องที่ปรับอากาศเพื่อลดความร้อนนอกจาก จะทำให้ห้องเย็นสบายจากแสงแดดและ ป้องกันความร้อนเข้าตัวบ้านแล้วยังทำให้สภาพภายในห้องปรับลดอุณหภูมิลงอย่าง รวดเร็วเนื่องจากมีความร้อนสะสมอยู่ภายในห้องน้อยจึงช่วยลดค่าไฟฟ้าของ เครื่องปรับอากาศได้
14. บานเกล็ด บานเปิด บานเลื่อน ต้องใช้ให้เหมาะสม
หน้าต่างแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการใช้ สอยที่แตกต่างกันตามความต้องการ จึงควรเลือกชนิดของหน้าต่างให้ เหมาะสมกับพื้นที่ภายในห้อง...หน้าต่างบานเปิดมีประสิทธิภาพในการรับกระแสลม สูงที่สุด...แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจัดวางให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของกระแสลมด้วย นอกจากนี้พึงระวังการใช้หน้าต่างบานเกล็ดในห้อง ปรับอากาศ เพราะหน้าต่างชนิดนี้มีรอยต่อมาก ทำให้อากาศภายนอกรั่วซึมเข้ามาได้ง่าย จึงส่งผลให้ความร้อนและ ความชื้นถ่ายเทสู่ภายในห้องได้สะดวกเช่นกัน ซึ่งเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น
15. ทาสีผนังให้ใช้สีอ่อน ไม่ร้อนดี แต่ถ้าเปลี่ยนสี(เข้ม)ต้องมีฉนวน
สีผนังมีผลต่อการสะท้อนแสงแดดและความ ร้อนเข้าสู่อาคารมากน้อยต่างกัน สีอ่อนจะมีคุณสมบัติสะท้อนแสงแดด และการถ่ายเทความร้อนเข้าภายในบ้านดีกว่า สีเข้มตามลำดับความเข้มของสี ผนังภายนอกที่สัมผัสแสงแดดจึงควรเลือกใช้สีโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เป็นต้น เพื่อช่วยสะท้อนความร้อน ในทางกลับกันหากต้องการทาสีผนังภายนอกบ้านเป็นสีเข้มก็สามารถ กระทำได้ แต่ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งที่โดนแสงแดดหรือต้องมีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใน บริเวณนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนเป็นการชดเชย นอกจากสีภายนอกอาคารแล้ว การทาสีภายในอาคารด้วยสีอ่อน จะช่วยสะท้อนแสงภายในห้อง เพิ่มความสว่างภายในบ้าน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดใช้โคมไฟมากเกินไป
16. ห้องติดเครื่องปรับอากาศต้องไม่ไร้บังใบประตูหน้าต่าง
ความชื้นในอากาศที่รั่วซึมเข้าภายใน อาคารบ้านเรือน (Air Infiltration) เป็นสาเหตุของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ และ ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการป้องกันปัญหาด้วยการออกแบบที่กระทำได้ไม่ลำบากคือ การเลือกใช้ประตูและหน้าต่างห้องในบ้านที่มีการบังใบวงกบ เพื่อลดการรั่วซึมของ อากาศร้อนและความชื้นจากภายนอกที่ไหลผ่านรอยต่อวงกบ ประตู หน้าต่าง เข้าสู่ภายใน
กรณีบานหน้าต่างสามารถใช้ซิลิโคนสีใส ช่วยปิดช่องอากาศรั่วได้ ส่วนกรณีบานประตูก็สามารถซื้อแผ่นพลาสติกปิดช่องอากาศรั่วมาติดเพิ่มเติม ได้ในภายหลัง โดยควรเลือกชนิดพลาสติกจะทำความสะอาดและกันลมรั่วได้ดีกว่าแบบผ้า
17. ห้องน้ำดีต้องมีแสงแดด
ผนังห้องน้ำ เป็นพื้นที่ ไม่กี่จุดในบ้านที่ควรจัดวางให้สัมผัสแสงแดดมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัยและเพื่อลดความชื้นสะสมภายในตัวบ้าน นอกจากนี้การเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำทางด้าน ทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ยังมีข้อดีในการเป็นพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างแสงแดดกับพื้นที่ในบ้านได้อีกด้วย
นอกจากจะต้องมีช่องแสงแดดที่มากแล้ว ควรมีช่องลมในปริมาณที่มากพอ เพื่อระบายความชื้นภายในห้องน้ำด้วยซึ่งมีข้อควรระวัง คือ ติดตาข่ายป้องกันแมลงที่ช่องลมด้วย
18. รับแสงเหนือเพื่อประหยัดแสงไฟ
ช่องแสงหรือหน้าต่างภายในบ้านควรออกแบบ จัดวางให้เอื้อต่อการนำแสงธรรมชาติส่องเข้ามาภายในห้องได้ ทุกๆห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ ห้องเก็บของและบันได เพื่อลด การใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าในบ้าน เนื่องจากแสงธรรมชาติเป็นแสงที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและไม่เสีย ค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่มากับแสงธรรมชาติ คือความร้อน ดังนั้นทิศทางช่องแสงหรือหน้าต่างในบ้าน ที่ดีที่สุด คือทิศเหนือ เนื่องจากได้รับอิทธิพลความร้อนของแสงแดดน้อยที่สุดในรอบปี (ดวงอาทิตย์อ้อมเหนือเพียง 3 เดือน) และมีลักษณะความสว่างคงที่ (Uniform) ในแต่ละวัน
19. คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ...ต้องวางให้ถูกที่
การวางตำแหน่งคอมเพรสเซอร์ นอกจากจะพิจารณาเรื่องความ สวยงามแล้วยังมีผลอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง ปรับอากาศและการทำความเย็นภายในห้อง จึงควรเลือกวางตำแหน่ง เครื่องให้อยู่ในจุดที่พัดลมของเครื่องสามารถระบายความร้อน ได้สะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวางทิศทางลม และนอกจากนี้ตัวเครื่องต้อง ไม่ได้รับความร้อนจากแสงแดดมากนักในช่วงเวลากลางวัน เช่น ทิศเหนือหรือตะวันออก เพราะการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องใน ปริมาณมาก จะทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น
20. ไม่ใช้หลอดไส้..หลอดร้อนหลากสี.. ชีวีเป็นสุข
หลอดไฟฟ้าชนิดหลอดไส้ (Incandescent Lamp) หลอด ฮาโลเจน (Halogen Lamp) ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้เป็นดวงโคม ที่นอกจากจะให้ความสว่างแล้วยังปล่อยความร้อนสู่พื้นที่ภายในห้องใน ปริมาณมาก เมื่อเทียบกับหลอดผอมหรือหลอดฟลูออเรสเซนท์ และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนท์หรือหลอดตะเกียบ ซึ่งมี ประสิทธิภาพทางพลังงาน (Efficacy) สูงกว่า คือให้ความสว่างมาก แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า ในห้องที่มีการปรับอากาศ การใช้งาน หลอดตระกูลหลอดไส้เหล่านี้ ทำให้ห้องมีความร้อนเพิ่มมากขึ้น และเครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น
ที่มา : สำนักส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สสอ.)
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
ยุบข้อความนี้ลบ
20 แม่ไม้สำคัญ ในการเลือกบ้านประหยัดพลังงาน
1. อย่าใส่แหล่งความร้อน(ลานคอนกรีต)ในบ้าน
ภายในบริเวณบ้านไม่ควรมี ลานคอนกรีตในทิศทางรับแสงแดดจัด เช่น ทิศใต้และทิศตะวันตก เนื่องจากในเวลากลางวันคอนกรีตจะกลายเป็นมวลสารสะสมความร้อน (Thermal mass)
มีการสะสมความร้อนไว้ใน เวลากลางวันในปริมาณมาก ด้วยคุณสมบัติการนำความร้อนของวัสดุและจะถ่ายเทความร้อนกลับสู่บ้านของท่าน ในเวลากลางคืน จึงทำให้สภาพแวดล้อมของบ้านและตัวบ้านมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วย การจัดวางตำแหน่งพื้นคอนกรีตเพื่อเป็นที่จอดรถยนต์หรือชานหรือระเบียงที่ดี ควรเลือกวางในทิศที่ไม่ถูกแสงแดดมาก เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออกและควรมีร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดปริมาณแสงแดด
2. รั้วบ้าน...ต้องโล่ง...โปร่ง...สบาย
รั้วบ้านไม่ควรออกแบบให้มีลักษณะทึบตัน เนื่องจากรั้วทึบจะกีดขวางการเคลื่อนที่ของลมเข้าสู่ตัวบ้านทำให้ภายในตัว บ้านอับลมนอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำรั้วบางชนิด เช่น อิฐมอญ คอนกรีต เสริมเหล็ก คอนกรีตบล็อก ยังมีคุณสมบัติสะสมความร้อนไว้ในตัวเองในเวลากลางวันและคายกลับสู่สภาพแวด ล้อมและตัวบ้าน ในเวลากลางคืน
3. อย่าลืม!!ต้นไม้ให้ร่มเงา
การปลูก ต้นไม้ในบริเวณบ้านนอกจากจะสร้างความร่มรื่นและความสดชื่นสบายตาสบายใจแก่ ผู้อาศัยในบ้านแล้วใบไม้หลากรูปทรงและสีสันที่แผ่กิ่งก้านสาขายังสามารถลด แสงแดดที่ตกกระทบตัวบ้านและให้ร่มเงาที่ร่มเย็นแก่ผู้อยู่อาศัยได้เป็น อย่างดีนอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายยังช่วยลดความร้อนจากสภาพแวดล้อม ด้วยการคายไอน้ำผ่านทางปากใบได้อีกด้วยซึ่งควรพิจารณาตำแหน่งการปลูกต้นไม้ ใหญ่น้อยในบริเวณบ้านให้สัมพันธ์กับร่มเงาที่เกิดขึ้นกับตัวบ้านไว้ล่วงหน้า
ข้อควรระวัง! การปลูกไม้ใหญ่ใกล้บ้านเกินไป ต้องระวังรากของต้นไม้ใหญ่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของบ้านจึงควรดูความเหมาะสมของชนิดต้นไม้
4. ก่อนสร้าง อย่าลืม!!! พื้นชั้นล่างปูแผ่นพลาสติก
บ้านพักอาศัยทั่วไปในปัจจุบันทั้งชั้น ล่างและชั้นบนมักติดตั้ง เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นและลดความชื้นภายในพื้นที่ กันเป็นจำนวนมาก การเตรียมการก่อสร้างบ้านในส่วนโครงสร้างพื้นชั้นล่างควรปูแผ่นพลาสติก เพื่อป้องกัน ความชื้นที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ซึ่งเป็นผลให้มีความเสียหายที่วัสดุปูพื้นชั้นล่าง และประเด็นที่สำคัญด้านพลังงานคือเกิดการสะสมความชื้นภายในพื้นที่ชั้นล่าง ของตัวบ้านเป็นที่มาของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นใน ที่สุด สิ่งที่ควรระวังระหว่างการก่อสร้างส่วนดังกล่าว คือ การฉีกขาดเสียหาย ของพลาสติกเนื่องจากเหล็กที่ใช้ในระหว่างการก่อสร้าง จึงต้องมีการเตรียมก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเช่นกัน
5. หันบ้านให้ถูกทิศ(ลม-แดด-ฝน) จิตแจ่มใส
การออกแบบบ้านเรือนในประเทศไทยไม่ควรหลง ลืมปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการถ่ายเทความร้อนสู่ตัวบ้าน นั่นคือส่วนใหญ่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทางทิศใต้(แดดอ้อมใต้)เป็นเวลา 8-9 เดือนและด้วยมุมกระทำของดวงอาทิตย์ต่อพื้นโลกมีค่าน้อย (มุมต่ำ) จึงทำให้การป้องกันแสงแดดทำได้ยากเป็นผลให้ทิศทางดังกล่าวได้รับอิทธิพลจาก แสงแดดรุนแรงเกือบตลอดปี การวางตำแหน่งบ้านและการออกแบบ รูปทรงบ้านที่ดีต้องหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดในทิศดังกล่าวนอกจากนี้ลมประจำ (ลมมรสุม)ที่พัดผ่านประเทศไทยมีทิศทางชัดเจนจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน และพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาวการวางผังบ้านและทิศทางตำแหน่งช่อง หน้าต่างเพื่อระบายความร้อนในบ้าน จึงต้องคำนึงถึงทิศทางกระแสลมเหล่านี้เป็นสำคัญอีกด้วย
6. มีครัวไทยต้องไม่เชื่อมติดตัวบ้าน
การทำครัวแบบไทย นอกจากจะได้อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนถูกปากคนไทยแล้วยังก่อให้เกิดความร้อนสะสม ขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณมากอีกด้วย อันเนื่องมาจากอุปกรณ์และกิจกรรมการทำครัวต่างๆซึ่งแตกต่างจากครัวฝรั่งโดย สิ้นเชิงความร้อนที่เกิดขึ้นในห้องครัวที่ติดกับตัวบ้านจะสามารถถ่ายเทเข้า สู่พื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็วในลักษณะสะพานความร้อน (Thermal Bridge) และหากห้องติดกันเป็นพื้นที่ปรับ อากาศจะยิ่งสิ้นเปลืองพลังงานในการทำความเย็นของห้องดังกล่าวมากขึ้นโดยใช่ เหตุ แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมระหว่างห้องครัวกับตัวบ้าน เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น
7.ประตูหน้าต่างต้องมีทางลมเข้าออก
การ ระบายความร้อนภายในบ้านโดยใช้ลมธรรมชาติพัดผ่านหน้าต่าง ภายในห้องต้องมีช่องทางให้ลมเข้าและลมออกได้อย่างน้อย 2 ด้านมิฉะนั้นลมจะไม่สามารถไหลผ่านได้และสิ่งที่ดีที่สุดคือการออกแบบให้ช่อง หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันและมีขนาดใหญ่เท่าเทียมกันจะทำให้การระบายความร้อน เกิดขึ้นมากที่สุด นอกจากนี้การวางตำแหน่งช่องหน้าต่างต้องตอบรับทิศทางการเคลื่อนที่ของลม ประจำด้วยแต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าลมที่นำเข้าสู่อาคารต้องทำให้เป็นลมเย็น เสียก่อนจึงจะทำให้การลดความร้อนมีประสิทธิผล
การออกแบบให้ลมไหลผ่านตัวบ้านได้ดีมีข้อควรระวังได้แก่
1.ต้องติดตั้งมุ้งลวดเพื่อกรองฝุ่นละอองเกสรที่จะเข้าบ้าน
2.การติดช่องหน้าต่างในตำแหน่งเยื้องกันจะช่วยบังคับให้ลมไหลผ่านห้องต่าง ๆ ตามตำแหน่งที่ต้องการได้
8. ผังเฟอร์นิเจอร์ต้องเตรียมไว้ก่อน ไม่ร้อนและประหยัดพลังงาน
บ้านที่ดีควรมีการจัดวางผังเฟอร์นิเจอร์ ในแต่ละห้องไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการจัดเตรียมตำแหน่งติดตั้ง ปลั๊ก สวิทช์ ไว้ให้ เพียงพอสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในบ้าน นอกจากนี้การเตรียมการดังกล่าวไว้ล่วงหน้าจะตรวจสอบได้ว่าตำแหน่งใดในบ้านมี เฟอร์นิเจอร์วางกีดขวางการเคลื่อนที่ของกระแสลมหรือไม่หรือตอบรับแสงสว่าง ธรรมชาติและกระแสลมธรรมชาติมากน้อยเพียงใดและควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไรให้ดี ขึ้น ควรแยกอุปกรณ์ที่จะสร้างความร้อนออกนอกห้องปรับอากาศ เช่น ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำ
9. อย่า!!!มีบ่อน้ำหรือนำพุในห้องปรับอากาศ
คุณสมบัติทางอุณหภูมิของเครื่องปรับ อากาศ คือ การลดอุณหภูมิและความชื้น ทำให้พื้นที่ห้องต่าง ๆ อยู่ในสภาวะสบาย ซึ่งการตกแต่งประดับพื้นที่ภายในห้องด้วยน้ำพุ น้ำตก อ่างเลี้ยงปลา หรือแจกันดอกไม้ ย่อมทำให้ภายในห้องมีแหล่งความชื้นเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นและทำให้เครื่อง ปรับอากาศต้องใช้พลังงานในการลดความชื้นมากกว่าปกติ
10. ช่องอากาศที่หลังคาพาคลายร้อน...
หลังคาที่ดีนอกจากจะสามารถคุ้มแดดคุ้มฝน ได้ ยังต้องมีคุณสมบัติ ในการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้อีกด้วย ภายในช่องว่างใต้หลังคา เป็นพื้นที่เก็บกักความร้อนที่แผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ก่อนถ่ายเทเข้าสู่ พื้นที่ส่วนต่างๆภายในบ้านดังนั้นการออกแบบให้มีการระบายอากาศ (ร้อน) ภายในหลังคาออกไปสู่ภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องลมบริเวณจั่วหลังคาหรือระแนงชายคาจึงเป็นเรื่องที่ดีต่อการ ลดความร้อนในบ้าน แต่พึงระวังให้การระบายอากาศร้อนดังกล่าวอยู่เหนือฉนวนภายในฝ้าเพดาน มิฉะนั้นความร้อน จะสามารถถ่ายเทลงสู่ตัวบ้านได้อยู่ดี
ข้อควรระวัง คือ
1. ต้องมีการติดตั้งตาข่ายป้องกันนก แมลง เข้าไปทำรังใต้หลังคาด้วย
2. ต้องมีการป้องกันฝนเข้าช่องเปิดระบายอากาศด้วย
11. ต้องใส่"ฉนวน"ที่หลังคาเสมอ
ฉนวนกันความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถ กั้นหรือป้องกัน ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงแดดไม่ให้เข้าสู่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นจากส่วนผนังหรือหลังคาบ้าน แต่ช่องทางที่ความร้อนจากแสงแดดถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านได้มากที่สุดในเวลากลาง วันคือพื้นที่หลังคา ดังนั้นการลดความร้อนจาก จากพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการใช้ฉนวนซึ่งมีรูปแบบและการติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับการใช้งานจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการลดการใช้พลังงานภายใน บ้าน
12. กันแสงแดดดีต้องมีชายคา
กันสาดหรือชายคาบ้านเป็นอุปกรณ์ที่มี ความสำคัญกับอาคาร บ้านเรือนในเขตร้อนเช่นประเทศไทย เนื่องจากมีคุณสมบัติการ ป้องกันแสงแดด(ความร้อน)ไม่ให้ตกกระทบผนังและส่องผ่านเข้าสู่ช่องแสงและ หน้าต่างได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ตำแหน่ง และทิศทางการติดตั้งกันสาดที่มีความจำเป็นมากที่สุด คือ ด้านที่มีแสงแดดรุนแรง ได้แก่ ทิศใต้และทิศตะวันตก นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการของการติดตั้งชายคาและกันสาด คือ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันฝนเข้าสู่ ตัวบ้านอีกด้วย
13. ห้องไหนๆติดเครื่องปรับอากาศ อย่าลืมติดฉนวน
การลดภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับ อากาศที่สำคัญ คือ ลดความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านและพื้นที่ใช้สอย ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนในพื้นที่ห้องที่ปรับอากาศเพื่อลดความร้อนนอกจาก จะทำให้ห้องเย็นสบายจากแสงแดดและ ป้องกันความร้อนเข้าตัวบ้านแล้วยังทำให้สภาพภายในห้องปรับลดอุณหภูมิลงอย่าง รวดเร็วเนื่องจากมีความร้อนสะสมอยู่ภายในห้องน้อยจึงช่วยลดค่าไฟฟ้าของ เครื่องปรับอากาศได้
14. บานเกล็ด บานเปิด บานเลื่อน ต้องใช้ให้เหมาะสม
หน้าต่างแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการใช้ สอยที่แตกต่างกันตามความต้องการ จึงควรเลือกชนิดของหน้าต่างให้ เหมาะสมกับพื้นที่ภายในห้อง...หน้าต่างบานเปิดมีประสิทธิภาพในการรับกระแสลม สูงที่สุด...แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจัดวางให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของกระแสลมด้วย นอกจากนี้พึงระวังการใช้หน้าต่างบานเกล็ดในห้อง ปรับอากาศ เพราะหน้าต่างชนิดนี้มีรอยต่อมาก ทำให้อากาศภายนอกรั่วซึมเข้ามาได้ง่าย จึงส่งผลให้ความร้อนและ ความชื้นถ่ายเทสู่ภายในห้องได้สะดวกเช่นกัน ซึ่งเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น
15. ทาสีผนังให้ใช้สีอ่อน ไม่ร้อนดี แต่ถ้าเปลี่ยนสี(เข้ม)ต้องมีฉนวน
สีผนังมีผลต่อการสะท้อนแสงแดดและความ ร้อนเข้าสู่อาคารมากน้อยต่างกัน สีอ่อนจะมีคุณสมบัติสะท้อนแสงแดด และการถ่ายเทความร้อนเข้าภายในบ้านดีกว่า สีเข้มตามลำดับความเข้มของสี ผนังภายนอกที่สัมผัสแสงแดดจึงควรเลือกใช้สีโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เป็นต้น เพื่อช่วยสะท้อนความร้อน ในทางกลับกันหากต้องการทาสีผนังภายนอกบ้านเป็นสีเข้มก็สามารถ กระทำได้ แต่ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งที่โดนแสงแดดหรือต้องมีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใน บริเวณนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนเป็นการชดเชย นอกจากสีภายนอกอาคารแล้ว การทาสีภายในอาคารด้วยสีอ่อน จะช่วยสะท้อนแสงภายในห้อง เพิ่มความสว่างภายในบ้าน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดใช้โคมไฟมากเกินไป
16. ห้องติดเครื่องปรับอากาศต้องไม่ไร้บังใบประตูหน้าต่าง
ความชื้นในอากาศที่รั่วซึมเข้าภายใน อาคารบ้านเรือน (Air Infiltration) เป็นสาเหตุของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ และ ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการป้องกันปัญหาด้วยการออกแบบที่กระทำได้ไม่ลำบากคือ การเลือกใช้ประตูและหน้าต่างห้องในบ้านที่มีการบังใบวงกบ เพื่อลดการรั่วซึมของ อากาศร้อนและความชื้นจากภายนอกที่ไหลผ่านรอยต่อวงกบ ประตู หน้าต่าง เข้าสู่ภายใน
กรณีบานหน้าต่างสามารถใช้ซิลิโคนสีใส ช่วยปิดช่องอากาศรั่วได้ ส่วนกรณีบานประตูก็สามารถซื้อแผ่นพลาสติกปิดช่องอากาศรั่วมาติดเพิ่มเติม ได้ในภายหลัง โดยควรเลือกชนิดพลาสติกจะทำความสะอาดและกันลมรั่วได้ดีกว่าแบบผ้า
17. ห้องน้ำดีต้องมีแสงแดด
ผนังห้องน้ำ เป็นพื้นที่ ไม่กี่จุดในบ้านที่ควรจัดวางให้สัมผัสแสงแดดมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัยและเพื่อลดความชื้นสะสมภายในตัวบ้าน นอกจากนี้การเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำทางด้าน ทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ยังมีข้อดีในการเป็นพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างแสงแดดกับพื้นที่ในบ้านได้อีกด้วย
นอกจากจะต้องมีช่องแสงแดดที่มากแล้ว ควรมีช่องลมในปริมาณที่มากพอ เพื่อระบายความชื้นภายในห้องน้ำด้วยซึ่งมีข้อควรระวัง คือ ติดตาข่ายป้องกันแมลงที่ช่องลมด้วย
18. รับแสงเหนือเพื่อประหยัดแสงไฟ
ช่องแสงหรือหน้าต่างภายในบ้านควรออกแบบ จัดวางให้เอื้อต่อการนำแสงธรรมชาติส่องเข้ามาภายในห้องได้ ทุกๆห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ ห้องเก็บของและบันได เพื่อลด การใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าในบ้าน เนื่องจากแสงธรรมชาติเป็นแสงที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและไม่เสีย ค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่มากับแสงธรรมชาติ คือความร้อน ดังนั้นทิศทางช่องแสงหรือหน้าต่างในบ้าน ที่ดีที่สุด คือทิศเหนือ เนื่องจากได้รับอิทธิพลความร้อนของแสงแดดน้อยที่สุดในรอบปี (ดวงอาทิตย์อ้อมเหนือเพียง 3 เดือน) และมีลักษณะความสว่างคงที่ (Uniform) ในแต่ละวัน
19. คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ...ต้องวางให้ถูกที่
การวางตำแหน่งคอมเพรสเซอร์ นอกจากจะพิจารณาเรื่องความ สวยงามแล้วยังมีผลอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง ปรับอากาศและการทำความเย็นภายในห้อง จึงควรเลือกวางตำแหน่ง เครื่องให้อยู่ในจุดที่พัดลมของเครื่องสามารถระบายความร้อน ได้สะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวางทิศทางลม และนอกจากนี้ตัวเครื่องต้อง ไม่ได้รับความร้อนจากแสงแดดมากนักในช่วงเวลากลางวัน เช่น ทิศเหนือหรือตะวันออก เพราะการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องใน ปริมาณมาก จะทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น
20. ไม่ใช้หลอดไส้..หลอดร้อนหลากสี.. ชีวีเป็นสุข
หลอดไฟฟ้าชนิดหลอดไส้ (Incandescent Lamp) หลอด ฮาโลเจน (Halogen Lamp) ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้เป็นดวงโคม ที่นอกจากจะให้ความสว่างแล้วยังปล่อยความร้อนสู่พื้นที่ภายในห้องใน ปริมาณมาก เมื่อเทียบกับหลอดผอมหรือหลอดฟลูออเรสเซนท์ และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนท์หรือหลอดตะเกียบ ซึ่งมี ประสิทธิภาพทางพลังงาน (Efficacy) สูงกว่า คือให้ความสว่างมาก แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า ในห้องที่มีการปรับอากาศ การใช้งาน หลอดตระกูลหลอดไส้เหล่านี้ ทำให้ห้องมีความร้อนเพิ่มมากขึ้น และเครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น
ที่มา : สำนักส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สสอ.)
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
ยุบข้อความนี้ลบ
ความคิดเห็น
▼
การใช้สวนลอยฟ้ามีแพร่หลายอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมัน และสิงคโปร์ได้มีการส่งเสริม และในบางกรณีก็ยังเป็นกฎหมายที่สนับสนุนสวนลอยฟ้าเพื่อผลทางด้านสภาพแวดล้อม อีกด้วย เช่น
อุปกรณ์
1. ถาด/กระบะชนิดด้านข้างยกสูง (พลาสติก, อลูมิเนียม, แสตนเลส) โดยเลือกขนาดตามความต้องการ หากเป็นกระบะพลาสติกต้องเลือกลักษณะที่สามารถทนต่อความร้อนได้ดี โดยสามารถเลือกใช้กระบะที่เคลือบด้วยสารป้องกันรังสียูวี
2. ถาดชนิดแบน (ใช้รองน้ำที่ไหลออกมา)
3. ถาดหลุมพลาสติก, ถ้วยพลาสติก, ถาดพาย ฯลฯ
4. ตระแกรงชนิดรูเล็ก
5. แผ่นไฟเบอร์ตู้ปลา, เศษผ้าเหลือใช้ แผ่นไฟเบอร์นั้นมีคุณสมบัติในการยึดรากของต้นพืชและเป็นตัวกลางช่วยให้ต้น พืชสามารถดูดน้ำในระบบได้
6. ปุ๋ย
ลักษณะปุ๋ยที่ดีต่อการทำ Green Roof คือ มีแร่ธาตุครบและสามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว
7. เมล็ดพันธุ์พืช
พันธุ์พืชที่เลือกนำมาเพาะปลูกนั้นสามารถเป็นได้ทั้ง ไม้ดอก ไม้ประดับขนาดเล็ก ไม้ในร่ม พืชสวนครัว และพืชคลุมดิน
- พืชสวนครัวที่แนะนำ คือ พืชตระกูลถั่ว โหระพา สะระแหน่ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องอาศัยการดูแลรักษามาก
- พืชคลุมดินที่แนะนำ คือ กระดุมทอง เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว มีความทนทานต่อสภาพดินน้ำอากาศ
- หญ้าที่แนะนำ คือ หญ้ามาเลย์ และหญ้านวลน้อย
ทั้งนี้ พันธุ์พืชที่เลือกนำมาสร้าง Green roof นั้นจะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิใต้หลังคา หากพันธุ์พืชมีลักษณะไม่สูงมากนัก ระยะห่างระหว่างต้นพืชเยอะ การระบายความร้อนจะเป็นไปได้น้อย หากพันธุ์พืชมีลักษะฟู ใบมีความหนา การระบายความร้อนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
ขั้นตอนการทำ
1. เจาะรูด้านล่างของกระบะหรือถาดชนิดด้านข้างยกสูงขึ้นให้แต่ละรูห่างกัน 1.5 นิ้ว ให้เป็นรูระบายน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมขังในกระบะ
2. วางถาดหลุมพลาสติกซ้อนทับกระบะดังกล่าว หากใช้ถ้วยพลาสติก นำถ้วยพลาสติกประมาณ 2-3 ถ้วย กะประมาณให้รับน้ำหนักของดินชั้นบนได้ วางเรียงชิดกันจนทั่วกระบะหรือถาดชนิดยกข้างสูง
3. ตัดตระแกรงให้มีขนาดพอเหมาะกับกระบะหรือถาดชนิดยกขางสูง แล้ววางคลุมถาดหลุมพลาสติก เพื่อเป็นฐานให้รากของพรรณไม้ที่จะใช้ปลูกเกาะ
4. วางแผ่นไฟเบอร์ประมาณ 2-3 แผ่นซ้อนทับแผ่นตระแกรงอีกชั้นหนึ่ง เพื่อสร้างระบบกักเก็บน้ำ ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้น อุ้มน้ำอยู่เสมอ อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณดินที่จะใช้ในการสร้าง Green roof
หากไม่สามารถหาแผ่นไฟเบอร์ เศษผ้าเหลือใช้ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ทดทนกันได้
5. เทปุ๋ยลงไปบนแผ่นไฟเบอร์ แล้วเกลี่ยให้เรียบ
- เนื่องจากชั้นดินในการทำ DIY-Green roof นั้นไม่หนามาก การใช้ปุ๋ยโดยไม่ผสมดินจะทำให้พืชมีได้รับสารอาหารมากขึ้น
- อีกทางเลือกหนึ่งคือผสมดินและปุ๋ยในอัตราส่วน 50:50
6. เสร็จสิ้นการทำ DIY Green roof พร้อมสำหรับการปลูกพืช
ยุบข้อความนี้ลบ
อุปกรณ์
1. ถาด/กระบะชนิดด้านข้างยกสูง (พลาสติก, อลูมิเนียม, แสตนเลส) โดยเลือกขนาดตามความต้องการ หากเป็นกระบะพลาสติกต้องเลือกลักษณะที่สามารถทนต่อความร้อนได้ดี โดยสามารถเลือกใช้กระบะที่เคลือบด้วยสารป้องกันรังสียูวี
2. ถาดชนิดแบน (ใช้รองน้ำที่ไหลออกมา)
3. ถาดหลุมพลาสติก, ถ้วยพลาสติก, ถาดพาย ฯลฯ
4. ตระแกรงชนิดรูเล็ก
5. แผ่นไฟเบอร์ตู้ปลา, เศษผ้าเหลือใช้ แผ่นไฟเบอร์นั้นมีคุณสมบัติในการยึดรากของต้นพืชและเป็นตัวกลางช่วยให้ต้น พืชสามารถดูดน้ำในระบบได้
6. ปุ๋ย
ลักษณะปุ๋ยที่ดีต่อการทำ Green Roof คือ มีแร่ธาตุครบและสามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว
7. เมล็ดพันธุ์พืช
พันธุ์พืชที่เลือกนำมาเพาะปลูกนั้นสามารถเป็นได้ทั้ง ไม้ดอก ไม้ประดับขนาดเล็ก ไม้ในร่ม พืชสวนครัว และพืชคลุมดิน
- พืชสวนครัวที่แนะนำ คือ พืชตระกูลถั่ว โหระพา สะระแหน่ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องอาศัยการดูแลรักษามาก
- พืชคลุมดินที่แนะนำ คือ กระดุมทอง เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว มีความทนทานต่อสภาพดินน้ำอากาศ
- หญ้าที่แนะนำ คือ หญ้ามาเลย์ และหญ้านวลน้อย
ทั้งนี้ พันธุ์พืชที่เลือกนำมาสร้าง Green roof นั้นจะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิใต้หลังคา หากพันธุ์พืชมีลักษณะไม่สูงมากนัก ระยะห่างระหว่างต้นพืชเยอะ การระบายความร้อนจะเป็นไปได้น้อย หากพันธุ์พืชมีลักษะฟู ใบมีความหนา การระบายความร้อนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
ขั้นตอนการทำ
1. เจาะรูด้านล่างของกระบะหรือถาดชนิดด้านข้างยกสูงขึ้นให้แต่ละรูห่างกัน 1.5 นิ้ว ให้เป็นรูระบายน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมขังในกระบะ
2. วางถาดหลุมพลาสติกซ้อนทับกระบะดังกล่าว หากใช้ถ้วยพลาสติก นำถ้วยพลาสติกประมาณ 2-3 ถ้วย กะประมาณให้รับน้ำหนักของดินชั้นบนได้ วางเรียงชิดกันจนทั่วกระบะหรือถาดชนิดยกข้างสูง
3. ตัดตระแกรงให้มีขนาดพอเหมาะกับกระบะหรือถาดชนิดยกขางสูง แล้ววางคลุมถาดหลุมพลาสติก เพื่อเป็นฐานให้รากของพรรณไม้ที่จะใช้ปลูกเกาะ
4. วางแผ่นไฟเบอร์ประมาณ 2-3 แผ่นซ้อนทับแผ่นตระแกรงอีกชั้นหนึ่ง เพื่อสร้างระบบกักเก็บน้ำ ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้น อุ้มน้ำอยู่เสมอ อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณดินที่จะใช้ในการสร้าง Green roof
หากไม่สามารถหาแผ่นไฟเบอร์ เศษผ้าเหลือใช้ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ทดทนกันได้
5. เทปุ๋ยลงไปบนแผ่นไฟเบอร์ แล้วเกลี่ยให้เรียบ
- เนื่องจากชั้นดินในการทำ DIY-Green roof นั้นไม่หนามาก การใช้ปุ๋ยโดยไม่ผสมดินจะทำให้พืชมีได้รับสารอาหารมากขึ้น
- อีกทางเลือกหนึ่งคือผสมดินและปุ๋ยในอัตราส่วน 50:50
6. เสร็จสิ้นการทำ DIY Green roof พร้อมสำหรับการปลูกพืช
ยุบข้อความนี้ลบ
No comments:
Post a Comment