2014-02-17

17 กุมภา.."วันแพะแห่งชาติ"



9 ปี ผ่านไปไว้่ไวเหมือนโกหก

วารสารฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2548
http://www.sameskybooks.net/journal-store/03-2/

ตีพิมพ์บทความ "50 ปี การประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2598" ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล 

อีก 1 ปี (17 กุมภาพันธ์ 2558) จะครบ 60 ปี ของการประหารชีวิต "ผู้บริสุทธิ์" 3 ท่าน แต่ปริศนาการฆาตกรรม อันนำไปสู่โศกนาฏกรรมก็ยังไมได้รับการคลี่คลาย

มิหนำซ้ำผู้แสวงหา "สัจจะ" กลับเอาตัวแทบไม่รอดจากอำนาจมืด เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา



A





กูซื้อแพะมามั้ย ช่วยตั้งชื่อที!

















 






กกต.ฟิลิปปินส์ทำประเทศพัง โดย นิติภูมิ นวรัตน์



กกต.ฟิลิปปินส์ทำประเทศพัง (ตอน 1)

โดย คุณนิติ นวรัตน์

ผมมีความรู้สึกว่า ประเทศไทยของเรากำลังจะเข้ายุคเสื่อมถอย ขอเรียนนะครับ ว่ายุคเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้กินเวลาแค่สี่ซ้าห้าปี แต่ส่วนใหญ่จะยาวนานถึง 15-20 ปี ประเทศก็เหมือนคนนะครับ บางห้วงก็เจริญรุ่งเรือง บางช่วงก็ตกอับ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งผมรู้จักเคยรุ่งเรืองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอถึงปัจจุบันทุกวันนี้ ชีวิตของท่านแย่ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ความตกต่ำส่วนใหญ่มาจากความไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต และความทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานในครอบครัวของผู้ใหญ่ท่านที่ว่า

พ่อเคยชี้ให้ดูบ้านของท่านผู้ใหญ่หลังหนึ่งซึ่งสำเร็จการศึกษาทางวิทยาศาสตร์บัณฑิตจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พร้อมทั้งเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อนตอน 40-50 ปีที่แล้ว ฟิลิปปินส์เป็นสาธารณรัฐรุ่งเรืองมาก พ.ศ.2503 รายได้ต่อหัวของคนฟิลิปปินส์สูงถึง 696 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่รายได้ต่อหัวของคนไทยใน พ.ศ.2503 มีเพียง 359 เหรียญ คนฟิลิปปินส์มีรายได้สูงกว่าคนไทยถึง 2 เท่า ไม่ใช่เฉพาะสูงกว่าคนไทยเท่านั้นนะครับ สูงกว่าคนเกาหลีใต้และคนจีนเสียด้วยซ้ำ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันการศึกษาของฟิลิปปินส์ทุกระดับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ใครสำเร็จการศึกษาจากฟิลิปปินส์ได้รับการยอมรับนับถือว่ามีความรู้ดี

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป 20 ปีให้หลัง ใครจะนึกเล่าครับ ว่า พ.ศ.2523 รายได้ต่อหัวของคนฟิลิปปินส์จะร่วงต่ำกว่าของคนเกาหลีได้ (แต่ก็ยังสูงกว่าคนไทยและจีน) สังคมของฟิลิปปินส์หลังจาก พ.ศ.2523 มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง นายเบนิคโน อากีโน วุฒิสมาชิกที่ได้รับสมญานามว่าหนุ่มมหัศจรรย์แห่งการเมืองฟิลิปปินส์ถูกไล่ออกนอกประเทศ บั้นปลายท้ายที่สุดก็ถูกทหารยิงเสียชีวิตเมื่อ 22 สิงหาคม พ.ศ.2526 จากนั้นมาสังคมฟิลิปปินส์ก็มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ต่อสู้กัน มีแต่การเดินขบวนทุกเมื่อเชื่อวัน

ภาพลักษณ์ของประเทศฟิลิปปินส์ที่เคยโดดเด่นเป็นสง่าร่วงไม่เป็นท่า ใครจะเล่นการเมืองก็ต้องแอบตั้งกลุ่มสนับสนุนเช่น กลุ่มยุติธรรมเพื่ออากีโนที่เรียกร้องให้นางเกลาซอน อากีโน ลงสมัครประธานาธิบดี การเลือกตั้งในฟิลิปปินส์เลื่อนแล้วเลื่อนอีก

กลุ่มที่สร้างเรื่องยุ่งยากในการเมืองฟิลิปปินส์มากที่สุดกลุ่มหนึ่งก็คือ ‘คณะกรรมการเลือกตั้ง’ ที่มีแต่ความไม่น่าเชื่อถือ เพราะกรรมการเอนไปเอียงมา แทนที่จะมีมาตรฐานมั่นคง กรรมการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ในยุคนั้นกลับได้พวกเสาหลักปักขี้เลน ประชาชนคนฟิลิปปินส์ใน พ.ศ.2529 ไม่เชื่อถือคณะกรรมการเลือกตั้ง และทำให้เหตุการณ์สับสนวุ่นวายขนาดประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการเลือกตั้งมากกว่าหนึ่งชุด ก็ยังไม่มีข้อยุติ รัฐบาลจึงประกาศแต่งตั้ง Commission on Election หรือคณะกรรมาธิการเลือกตั้ง ผู้อ่านท่านคงจะเคยคุ้นชื่อ ‘คอมเลก’ นะครับ แต่กรรมการบางคนในคอมเลกมีพฤติกรรมโอนเอียงชัดเจน ประชาชนคนเกือบครึ่งสาธารณรัฐจึงไม่เอาด้วย ผู้คนจึงต้องรวมตัวกันเป็นอาสาสมัครเลือกตั้ง มีทั้งนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ฯลฯ ตั้งเป็นคณะกรรมการเลือกตั้งเอกชน และเรียกตัวเองว่า ‘นัมเฟรล’ ซึ่งย่อมาจาก National Movement For Free Election

พอถึงวันเลือกตั้ง ไอ้นั่นก็ประท้วง ไอ้นี่ก็ประท้วง การเลือกตั้งเป็นไปอย่างทุลักทุเล ที่ทุลักทุเลกว่าก็คือ การนับคะแนนและรายงานผลเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปอย่างสับสนวุ่นวายที่สุดกุดถังสังฆังทำโม คณะกรรมาธิการเลือกตั้ง ‘คอมเลก’ ประกาศให้ผู้สมัครคนหนึ่งเป็นผู้ชนะ แต่คะแนนจากคณะกรรมการเลือกตั้งเอกชน ‘นัมเฟรล’ ให้ผู้สมัครอีกคนหนึ่งชนะ เจ้าหน้าที่ที่ป้อนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต้องหนีเหล่าเท้าของประชาชนคนที่ตามมารุมกระทืบ

พ.ศ.2543 รายได้ต่อหัวของคนไทยสูงกว่าฟิลิปปินส์ แต่คนฟิลิปปินส์ก็ยังมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าคนจีน

พ.ศ.2555 คนจีนมีรายได้สูงกว่าคนไทยและฟิลิปปินส์

รายได้ต่อหัวของคนฟิลิปปินส์คือ 1,501 เหรียญ

ขณะที่คนไทยมีรายได้สูงถึง 3,351 เหรียญ

ความไม่เชื่อมั่นในระบบเลือกตั้ง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกวันนี้ ฟิลิปปินส์ต้องส่งออกคนใช้และเสมียนไปทำงานหาเงินทั่วโลก.




กกต.ฟิลิปปินส์ทำประเทศพัง (ตอน 2)

โดย คุณนิติ นวรัตน์

ฟิลิปปินส์เป็นตัวอย่างของประเทศที่เคยเจริญรุ่งเรือง แต่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศวุ่นวาย เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่นาน จากสาธารณรัฐที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้ง ก็กลายเป็นประเทศที่ถูกประเทศอื่นแซงหน้าไปทีละประเทศสองประเทศ

จากประเทศที่มีงานเยอะแยะ ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีงานให้ประชาชนคนของตนเองทำ คนฟิลิปปินส์ถูกผลักไสให้ต้องออกไปทำงานในต่างประเทศ

ความเสื่อมถอยของฟิลิปปินส์มาจากหลายประการครับ หนึ่งในมากมายหลายประการนั้นก็คือ วิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบอบประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตยในฟิลิปปินส์เคยแย่ขนาดกลายเป็นระบอบขยะ เพราะความเหลวเป๋วของคณะกรรมการเลือกตั้ง ซึ่งแทนที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง กลับเอียงกะเท่เร่ เมื่อไม่มีความเชื่อถือ ก็ต้องมีคณะกรรมการการเลือกตั้งอุบัติขึ้นมามากกว่าหนึ่งชุด เมื่อวานผมรับใช้ไปแล้วสองชุดหลัก ทั้งชุดที่เรียกว่า ‘คอมเลก’ และชุดที่เรียกว่า ‘นัมเฟล’

ขอฉายหนังตัวอย่างแค่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ พ.ศ.2529 วันลงคะแนนของการเลือกตั้งในครั้งนั้นก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตอนแรกประกาศว่าจะเลือกตั้งกันในวันที่ 17 มกราคม สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเลือกตั้งกันในวันที่ 7 กุมภาพันธ์

คณะกรรมการเลือกตั้งของฟิลิปปินส์ทำประเทศเละตุ้มเปะ แม้แต่ผลการเลือกตั้ง ก็ประกาศไม่ตรงกัน คณะกรรมาธิการเลือกตั้ง ‘คอมเลก’ ประกาศว่ามาร์กอสเป็นฝ่ายนำ ขณะที่คะแนนจากกรรมการเลือกตั้งเอกชน ‘นัมเฟล’ ที่เป็นการรวมตัวกันของนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน และนักศึกษา กลับประกาศว่าโกราซอน อากีโน เป็นฝ่ายนำ

สภานิติบัญญัติแห่งชาติประกาศผลการเลือกตั้งให้มาร์กอสเป็นฝ่ายชนะ แต่ประชาชนฟิลิปปินส์ตอนนั้นไม่ฟังใครแล้ว เพราะคณะกรรมการเลือกตั้งบั่นทอนความเชื่อถือของสถาบันต่างๆ ซะจนเละไปหมดแล้ว ให้ประกาศจนคอพังก็ไม่มีใครเชื่อ คนแต่ฝ่ายต่างก็ก่อตัวมารวมกันเป็นพลังประชาชน กลุ่มใหญ่ที่สุดชื่อ People Power Revolution กลุ่มพลังประชาชนปฏิวัติ

ตอนนั้น รัฐสภาอเมริกันและรัฐสภายุโรปมีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ประณามการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ หลายประเทศที่วิเคราะห์ว่า ฝ่ายมาร์กอสทำผิด ต่างก็เข้าไปพบนายโกราซอน อากีโน เช่นพวกทูต 14 ประเทศในฟิลิปปินส์ สภาคริสเตียนเพื่อประชาธิปไตยระหว่างประเทศส่งโทรเลขให้มาร์กอส ประธานาธิบดีเรแกนขอร้องให้มาร์กอสยอมแพ้ ฯลฯ ต่างคนต่างมีแรงหนุนจากทั้งในและต่างประเทศพอๆ กัน

25 กุมภาพันธ์ 2529 คือวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะคณะกรรมการเลือกตั้งมี 2 คณะ วันนั้น จึงมีพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีของทั้ง 2 คน

ทว่า ในตอนเย็นของวันสาบานตน ก็มีพลังอันยิ่งใหญ่อุบัติ ทำให้มาร์กอสและครอบครัวต้องหนีออกนอกประเทศ ความขัดแย้งภายในประเทศ ทำให้ประชาชนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ฝ่ายที่ชนะมีพลังประชาชนมากกว่า สามารถทำให้สถานการณ์พลิกผันได้

เช่นเดียวกันกับพวกมาร์กอส ซึ่งเป็นตระกูลที่มีบารมีและอำนาจเป็นอันดับหนึ่งของประเทศมายาวนาน ไม่เคยนึกมาก่อนเลยครับ ว่าชีวิตของตนและครอบครัวจะมีวันที่ต้องทิ้งฟิลิปปินส์ไปชั่วนิรันดร์พันปี เรื่องนี้เอาไว้ผมค่อยกลับมารับใช้ท่านกันต่อ แต่เรื่องที่จะเขียนในวันนี้ ผมอยากรับใช้ท่านว่า การไม่ยอมกัน ทำให้ประเทศฟุบยาวหลายสิบปี

ประเทศที่มีแต่ความขัดแย้งกัน จะทำให้ไม่มีความชัดเจนในเรื่องอำนาจ เมื่อไม่มีความชัดเจนในเรื่องอำนาจ ข้าราชการซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทำงานของภาครัฐจะไม่ยอมทำงาน แถมยังถือโอกาสใช้ช่วงที่มีสุญญากาศทางการเมืองคอรัปชั่นมโหฬารอีกด้วย

พรรคใหญ่สุดของประเทศคือ พรรคข้าราชการ เมื่อพรรคข้าราชการไม่ขยับขับเคลื่อนและยังถือโอกาสคอรัปชั่น อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเข้าสู่สภาวะถดถอยยาวนาน.

2014-02-14

Valentine @ DHARA DHEVI


Merry Valentine
ขบวนแห่ขันหมากยามเช้าที่ดาราเทวีแสนงาม สถานที่เดียวที่สามารถจัดงานแต่งงานได้สวยงามเหมือนอยู่ในเมืองเนรมิต
 (8 photos) 










เวียนเทียน at วัดเจ็ดยอด













สรงน้ำพระบรมธาตุเจ้าศรีจอมทอง

113 ปี "จอมทอง แผ่นดินทองของเชียงใหม่ "

อ.จอมทอง มีประวัติเกี่ยวกับตำนานวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารเดิมที่ตั้งวัดพระธาตุฯ เป็นเนินเขาเล็กๆ คล้ายจอมปลวกหรือหลังเต่า มีป่าไม้ทองกวาวและทองหลางอยู่บนเนิน จึงเรียกวา “ดอยจอมทอง”ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมาที่ดอยแห่งนี้ และอัญเชิญพระทักษิณโมลีธาตุพระเศียรเบื้องขวาของพระเจ้า ซึ่งมีขนาดเท่าเม็ดพุทธา รวมพระบรมธาตุย่อยอีกเจ็ดองค์เข้าสู่โกศเพชรและอัญเชิญประดาษฐานไว้ในคูหาใต้ดอยจอมทอง ในปี พ.ศ. 1994 ได้มีการก่อสร้างวัดขึ้นบนดอยจอมทองแล้วเรียกชื่อว่า “วัดพระธาตุจอมทอง”เมื่อได้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2506 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร” ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ทางราชการได้ตั้งอำเภอขึ้น ชื่อว่า “อำเภอจอมทอง” โดยใช้ชื่อเรียกตามตำนานวัดพระธาตุจอมทอง เดิมที่ว่าการอำเภอจอมทอง ตั้งอยู่บ้านท่าศาลา หมู่ที่ 3 ตำบลข่วงเปา ห่างจากที่ว่าการอำเภอปัจจุบัน 2 กิโลเมตร และประมาณ พ.ศ. 2476 ทางราชการได้ย้ายที่ว่าการอำเภอไปสร้างใหม่ ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดพระธาตุจอมทอง

เที่ยวชมเพจ : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ | https://www.facebook.com/CHOMTHONGCHIANGMAI
 — with จอมทอง เชียงใหม่.










 




พิธีอัญเชิญพระบรมธาตุเจ้าศรีจอมทองออกพรรษา และสรงน้ำพระบรมธาตุ

เนื่องในวันมาฆบูชา ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทองจ.เชียงใหม่ อันเป็นประเพณีเก่าแก่ ที่สืบทอดกันมานานนับร้อยๆปี และถือเป็นพระบรมธาตุเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่สามารถอัญเชิญให้ประชาชนได้สักการะและร่วมสรงน้ำพระบรมธาตุได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย สาธุ สาธุ สาธุ  

วันนี้จอมทองคึกคักมากๆ เล่นเอารถติดไปทั่วเมืองหลายกิโลเมตร คนนับหมื่นนับแสน เยอะมากๆ ที่เดินทางมายังวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เล่นเอาวัดพระธาตุแคบไปถนัดตา ตามความเชื่อของชาวพุทธถือว่าศีลใหญ่แรกจะได้บุญมากที่สุด ... 

เคดิตภาพ : ยุพิน จินใจ

เครดิตภาพ : คุณ Kamolphob Tao Jinawa







สรงน้ำพระบรมธาตุเจ้าศรีจอมทอง 

เครดิตภาพ : คุณ Natthawut Butta

เที่ยวชมเพจ : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ | https://www.facebook.com/CHOMTHONGCHIANGMAI















2014-02-13

13 กุมภาพันธ์ "วันรักนกเงือก"


13 กุมภาพันธ์ "วันรักนกเงือก"

นกเงือก เป็นนกขนาดใหญ่ ส่วนมากมักจะมีขนสีดำสลับขาว ทั่วโลกมี 55 ชนิด มีการแพร่กระจายอยู่ในแถบเขตร้อน ของทวีปอัฟริกา และเอเชีย นกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว มีลักษณะการทำรังที่แปลกจากนกอื่น คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง จะทำความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้ ตัวเมียจะขังตัวอยู่ภายในเพื่อออกไข่เลี้ยงลูก

ปัจจุบันนกเงือกในประเทศไทยมีทั้งหมด 13 สายพันธุ์ จากทั้งหมด 50 กว่าสายพันธุ์ที่มีอยู่ทั่วโลก ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก โดยเฉพาะผืนป่าตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ซึ่งรวมแล้วมีนกเงือกประมาณ 3,000 ตัว

รายชื่อนกเงือกที่พบในประเทศไทย
นกกก หรือ นกกะวะ หรือ นกกาฮัง Great Hornbill, Buceros bicornis
นกเงือกหัวแรด Rhinoceros Hornbill, Buceros rhinoceros
นกเงือกหัวหงอก White-crowned Hornbill, Berenicornis comatus
นกชนหิน Helmeted Hornbill, Rhinoplax vigil
นกแก๊ก หรือ นกแกง Oriental Pied Hornbill, Anthracoceros albirostris
นกเงือกดำ Black Hornbill, Anthracoceros malayanus
นกเงือกคอแดง Rufous-necked Hornbill, Aceros nipalensis
นกเงือกสีน้ำตาลคอขาว Austen's Brown Hornbill, Anorrhinus austeni
นกเงือกสีน้ำตาล Tickell's Brown Hornbill, Anorrhinus tickelli
นกเงือกปากดำ Bushy-crested Hornbill Anorrhinus galeritus
นกเงือกปากย่น Wrinkled Hornbill, Aceros corrugatus
นกเงือกกรามช้าง หรือนกกู่กี๋ Wreathed Hornbill, Rhyticeros undulatus
นกเงือกกรามช้างปากเรียบ Plain-pouched Hornbill, Rhyticeros subruficollis

นกเงือกที่พบในป่าตะวันตก
นกเงือกกรามช้างปากเรียบ ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Aceros subruficollis ชื่อสามัญ (Common name): Plain-pouched Hornbill (Rhyticeros)
รูปร่างหน้าตานิสัยเหมือนนกกู๋กี๋ หรือ นกเงือกกรามช้าง มีขนาดย่อมกว่า และต่างกันตรงที่ปากด้านข้างเรียบ ถุงใต้คอไม่มีขีดดำทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นนกเงือกที่ใกล้สูญพันธุ์ พบบริเวณ ผืนป่าตะวันตกติดกับประเทศพม่า (Myanmar) เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

นกเงือกคอแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Aceros nipalensis ชื่อสามัญ (Common name): Rufous-necked Hornbill
มีขนาดใกล้เคียงกับนกเงือกปากย่น ตัวผู้มีสีสรรสวยงามแต่ไม่มีโหนก ปากสีเหลืองอ่อน อมเขียว ปากบนมีรอยขีดสีดำ ถุงใต้คอสีแสดทั้งสองเพศ ตัวเมียสีดำปลอด เป็นนกเงือกที่พบอยู่ป่าสูง และอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ พบนกเงือกชนิดนี้ได้ทางตะวันตกและ ตะวันตกเฉียงเหนือ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

นกเงือกสีน้ำตาล (Tickell's) ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Anorrhinus tickelli ชื่อสามัญ (Common name): Tickell's Brown Hornbill
ขนาดเล็กกว่า นกเงือกปากดำ และมีนิสัยคล้ายคลึงกัน แตกต่างจากนกเงือกสีน้ำตาล (Austen's) ตรงที่คอมีสีน้ำตาลแดง ทำรังแบบมีผู้ช่วยแต่ผู้ช่วยจะเป็นตัวผู้ทั้งหมด และไปกันเป็นฝูง กินอาหารจำพวกแมลง สัตว์เล็ก ๆ และผลไม้ เลี้ยงลูกได้มากที่สุดถึง 3 ตัว เป็นนกที่ อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ พบนกเงือกชนิดนี้ ได้ทางภาคเหนือ ตะวันตกและภาคกลาง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง, อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นต้น

นกเงือกมีบทบาทเด่นในการช่วยกระจายพันธุ์ไม้ในป่า เนื่องจากนกเงือกกินผลไม้สุกเป็นอาหารมากกว่า 300 ชนิด ทั้งผลไม้ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และด้วยพฤติกรรมของนกเงือกบินหาอาหารไปทั่ว และกินผลไม้เข้าไปทั้งผลแล้วขย้อนเมล็ดออกมา จึงสามารถนำพาเมล็ดพันธุ์พืชไปทิ้งไว้ยังที่ต่างๆ และเจริญขึ้นเป็นต้นกล้าได้ทั่วป่า นกเงือกจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการแพร่พันธุ์ของพืช ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในป่า และทำให้เกิดความสมดุลในธรรมชาติ

ด้วยความที่เป็นสัตว์รักเดียวใจเดียว ใช้ชีวิตคู่แบบ "ผัวเดียวเมียเดียว" จนแก่เฒ่าหรือกว่าจะตายจากกัน และตัวผู้ยังมีลักษณะของหัวหน้าครอบครัวที่ดี คอยหาอาหารให้และคอยดูแลปกป้องลูกนกและแม่นกให้ปลอดภัย นกเงือกจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของ "รักแท้"

"ความรักของนกเงือก รักแท้ในป่าทึบ"
นกเงือก เป็นนกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนกที่มีความรักเดียวใจเดียว และซื่อสัตย์กับคู่ของมันไปจนตาย เนื่องจากนกเงือกจะจับคู่แบบผัวเดียว – เมียเดียว นกตัวผู้จะเป็นผู้บินไปหานกตัวเมียที่ถูกใจ และเข้าไปเกี๊ยวพาราสีด้วยการนำอาหารหลากหลายชนิดมาให้กับตัวเมีย จนเมื่อนกตัวเมียยอมรับอาหารจึงเป็นการแสดงได้ว่าตัวเมียนั้นได้ยอมตกลงปลงใจเรียบร้อย

แต่ความรักไม่ได้สร้างกันง่ายๆ นกเงือกทั้งคู่จะต้องเลือกสถานที่ทำรังที่เหมาะสม ซึ่งตัวผู้จะทำหน้าที่หาโพรงที่สัตว์ต่างๆ ได้ทำทิ้งไว้ หรือที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามต้นไม้สูง เมื่อตัวเมียพอใจกับรังตัวผู้นำเสนอตัวเมียจึงยอมให้ผสมพันธุ์ แล้วนกทั้งคู่ก็จะช่วยกันหาเศษใบไม้ใบหญ้ามาสร้างรังเพื่อรอต้อนรับลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลก แล้วหลังจากนั้นก็จะหาเศษดินมาปิดปากรังเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากสัตว์นักล่าต่างๆ รวมทั้งสร้างความอบอุ่นให้กับแม่ลูก

แม่นกเงือกจะคอยกกไข่และให้ความอบอุ่นกับลูกที่ฟักมาอยู่ภายในรังโดยไม่ได้ออกไปไหน ตัวผู้จึงมีหน้าที่ในการออกหาอาการเพื่อนำมาเลี้ยงชีวิตทั้งลูกน้อยและคู่รัก จนกว่าลูกนกจะโตพอบินได้จึงกะเทาะปากโพรงที่สร้างด้วยเศษดินนั้นออกมา ความรักของนกเงือกจึงเปรียบเสมือนรักแท้ในป่าทึบ เพราะหากวันใดวันหนึ่งที่นกตัวผู้เกิดไม่ออกหาอาหาร หรือตายไป คู่รักของมันที่รออยู่ที่โพรงก็จะยังคงรออยู่อย่างนั้น ไม่มีวันออกไปไหน รอจนหมดเรี่ยวแรงและตายลงไป พร้อมกับลูกนกเคราะห์ร้ายที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาพบกับโลกภายนอก

นอกจากความรัก และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของนกเงือกแล้ว นกเงือกยังเป็นสัตว์สำคัญที่เป็นตัวแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าที่มันอาศัยอยู่ เพราะมันจำเป็นจะต้องสร้างรังในโพรงต้นไม้สูง แข็งแรง ในป่าทึบ และด้วยความหลากหลายของการกินอาหาร นกเงือกจึงเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงดุลยภาพต่างๆ ในสังคมป่าเขตร้อนให้คงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง นกเงือกอาจมีอายุยืนยาวได้ถึง 30 ปี แต่ละตัวสามารถช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้มากกว่า 100 ต้น/สัปดาห์ หากไม้เหล่านี้สามารถเจริญเป็นไม้ใหญ่ได้เพียง 5 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งชีวิตของนกเงือกจะสามารถปลูกไม้สำคัญของป่าได้ถึง 500,000 ต้น

ดังนั้นความรักของนกเงือก จึงไม่ใช่เพียงเพื่อขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนให้กับสายพันธุ์ของมันเองเท่านั้น มันกลับเผื่อแผ่ความรักของมันให้กับป่า ให้กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมัน ซึ่งมนุษย์เราก็ได้รับประโยชน์จากความรักนั้นในทางอ้อมจากความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

เพื่อให้คนไทยเกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์นกเงือกให้คงอยู่คู่กับป่าที่อุดมสมบูรณ์ตลอดไป มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย HORNBILL บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จึงได้กำหนดให้วันที่ 13 ก.พ. ของทุกปีเป็น "วันรักนกเงือก" โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา และมีการจัดกิจกรรมเพื่อระดมทุนสำหรับการศึกษาวิจัยและอนุรักษ์นกเงือกในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
ในภาพ : "น้องน้ำหวาน" อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จ.กาญจนบุรี