2014-02-12

มหาภารตะไทย


มหาภารตะไทย : ชุดสงครามประชาธิปไตย ตอนที่ 1
โดย  
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี 

เมื่อ 44 ปีมาแล้ว ในช่วงที่ผมไปเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ผมค่อนข้างจะยืดอกแนะนำตัวเองว่ามาจากประเทศไทย ฝรั่งจำนวนไม่น้อยที่รู้จักประเทศไทยก็จะบอก Very good เมืองยูเจริญนะ เมืองยูเป็นประชาธิปไตย (ตอนนั้นอินโดนีเซีย พม่า หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ เป็นเผด็จการกึ่งทหารตามแบบของตน ในขณะที่ลาว เขมร เวียดนามเป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์)

หลังจากนั้นผมก็ไปต่างประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกาอีกนับเป็นพันครั้ง ฝรั่งมังค่า ก็ยังยกนิ้วร้อง “ ฮ้อ” เหมือนเดิม (จีนชักจะมีบทบาทมากขึ้น) เอมาตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วนะครับ เจอหน้าใคร รับโทรศัพท์จากเพื่อนฝูง อ่าน E-mail พรรคพวกชาวต่างประเทศต่างๆรำพึงเหมือนกันหมด “ ประเทศยูมันบ้าไปแล้ว ”

ผมอ่าน Web นิตยสาร ฟอร์บ (หนังสือคนรวย) เขาบอกว่าฝ่ายค้านในไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย มีกลุ่มคนทำตัวเหมือนพวกฟาสซิสต์ของมุโสลินี ผู้กุมอำนาจในเมืองไทย (อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง Fascist-Thai) เป็นชนชั้นสูง กลุ่มอำนาจเก่า ที่นิยมการชี้นิ้วสั่งการ

บลูมเบิร์ก ระบุกองทัพและกลุ่มอำนาจเก่า ไม่พอใจนโยบายประชานิยม และ รับไม่ได้กับภูมิ สถาปัตย์การเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (ชอบดูภาพเก่ามันงามดี)

เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรีตำหนิว่า กกต.ไทยไม่สนับสนุนการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย (ทั้งๆที่ถูกจ้างให้ทำหน้าที่) และ กปปส. ท้าทายกฎหมายโดยการขัดขวางการเลือกตั้ง

กัลฟ์นิวส์ (ชาติอาหรับ ซึ่งเมื่อก่อนหล้าหลังประเทศไทยมากในเรื่องประชาธิปไตย) วิเคราะห์ว่า คนชนบทไม่ยอมให้เสียงของตนเอง ถูกละเลยและไม่ยินยอม (อีกแล้ว) ให้ชนชั้นสูงในกรุงเทพกลับมาควบคุมสั่งการ (เลิกเป็นขี้ข้าแล้ว เจ้าข้าเอ้ย)

แล้วจะเหลือเกียรติภูมิอะไรอีกเล่าครับ ชั้นสูง ชั้นกลางอะไรนั้น (ไม่รู้มีจริงๆหรือเปล่า ไม่เห็นมีใครสูงเกิน 2 เมตร สักคน) นาฬิกามันเดินหน้าทุกวินาทีนะครับ ปฏิทินที่เราฉีกก็เปลี่ยนแปลงทุกวัน แม้แต่ปัจจุบันภายในเศษวินาทีเดียวก็ถือว่าเป็นอดีตไปแล้ว แล้วพวกท่านยิ่งมุ่งมั่นหวังจะถอยกาลเวลา มันมิตลกไปหรือ (อย่าไปเชื่อละครทีวีประเภททวิภพ อะไรนั้น มันเป็นละครเพ้อฝันทั้งนั้น)

สังคมเป็นของผู้คนส่วนใหญ่นะครับ ดีมากดีน้อยอย่างไรหากคนส่วนใหญ่ (มวลมหาประชาชน) เขาจะเอา มันจะขัดขืนไหวหรือ เผลอๆ ไอ้ขื่อคานที่ขวางอยู่มันจะพังเองนะครับ (กรุณาไปดูฝายที่ทานน้ำบ่าไม่ได้ซิครับ)

ผมมาตรองแล้ว อยากจะสรุปว่าขณะนี้สังคมไทยกำลังเผชิญการต่อสู้ ระหว่างความเชื่อเก่าที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยล้าหลัง” กับความนิยมใหม่ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยก้าวหน้า” ความเชื่อของกลุ่มแรกนั้นได้เปรียบมาตลอด (เลยชักได้ใจ) แต่ความเชื่อของคนกลุ่มใหม่ก็มิได้ย่อหย่อนที่จะทัดทานหรือท้าทาย (เพราะไม่ยอมแล้ว) ผมว่ากลุ่มเก่ามีแต่จะโรยรา ในขณะที่กลุ่มใหม่กลับเป็นจำนวน และพื้นที่มากขึ้น เรื่องนี้ระยะสั้นนั้น จะจบอย่างไรยากจะคาดเดา แต่หากเป็นระยะยาวประชาชนและความเป็นอิสระเสรีจะชนะแน่นอน
ผมคงต้องเขียนเรื่องนี้หลายตอน (หนังยาวครับ)

พรุ่งนี้ผมจะลองสาธยายให้ท่านได้เห็นว่า พัฒนาการของฝ่ายแรก (ล้าหลัง) ในช่วงปีสองปีนี้หน้าตาเป็นอย่างไร และมีใครร่วมอยู่ในขบวนการบ้าง และผลการดำเนินการของเขาเป็นอย่างไร (โปรดติดตาม)


มหาภารตะไทย : ชุดสงครามประชาธิปไตย ตอนที่ 2

มหากาพย์ตอนที่สอง จะเป็นเรื่องของตัวแสดงและบทบาทของเขาเหล่านั้น โดยรวมไปถึงเครือข่ายความเชื่อมโยงต่างๆด้วย (ขออภัยหากต้องขนานนามปลอม แต่ก็เชื่อว่า ท่านคงพอคาดเดาได้ไม่ยาก)

1. ก๊กแรกถือคัมภีร์ (Doctrine) ประชาธิปไตยก้าวหน้า (Progressive) เชื่อและชอบในระบบเศรษฐกิจเสรี ยินดีเปิดกว้างออกสู่สากล (เช่น AEC) และอยากเห็นความเจริญแบบก้าวกระโดด (Frog Leap เหมือนจีน) บรรพบุรุษของก๊กนี้ คือ คุณปู่นาม รักไท (ตายแล้วด้วยคำสั่งประหาร) ผู้รับมรดกต่อมาเป็นลูกชื่อท่าน พลังชล (ตายตั้งแต่ยังหนุ่มด้วยอาญาสิทธิ์กลุ่มสองปอ) รุ่นปัจจุบันเป็นนารีขี่รถไฟชื่อเพราะพริ้งเพื่อเธอ (กำลังถูกกลุ่มชายอำมหิตตามล่าเอาชีวิตอยู่ แต่หมอดูบอกว่าจะรอด) คณะนี้ชอบช่วยเหลือคนรากหญ้า หวังให้ขยับฐานะเป็นคนชั้นกลางภูธร

2. ก๊กที่สองเกิดมานานจนมีลายครามชื่อ “ธิปัตย์” ถือคัมภีร์ประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์นิยม มีความชอบอิงอำนาจพิเศษ (เผลอไม่ได้ ชอบจีบผู้ถืออาวุธ) มีอาวุธสำคัญ คือ ปาก (ตะไกร) ชอบค้าความ (แต่ทำการค้าไม่เป็น) ได้รับพรจากสวรรค์ให้เป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย (หมดอายุความ) ตอนนี้มีคนหนุ่มเป็นผู้นำชื่อ Pinocchio (เด็กน้อยจมูกยาว เพราะชอบพูดปด) เป็นคนมีหลักการดี แต่เวลาปฏิบัติทำอีกอย่าง (พูดอย่างทำอย่าง) คณะนี้ชอบข้าราชการ (คิดเองไม่เป็น) ตอนนี้เลยชวนข้าราชการปิดออฟฟิศทิ้งงาน และไม่ยอมลงเลือกตั้ง (กลัวแพ้?)

3. กลุ่มที่สามเป็นคณะใหญ่ อายุยืนนาน ยอมรับประชาธิปไตยเช่นกัน แต่ยังยึดมั่นอย่างยิ่งต่อขนบธรรมเนียมและหลักนิยมความดีดังนั้น จึงถูกขนานนามว่า เป็นกลุ่ม Ultra-conservative หรือขวาชิดขอบ เป็นกลุ่มที่เคยชินกับการเกื้อกูลระหว่างชนชั้น และไม่อยากจะชินกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย กลุ่มนี้เชื่อว่าการเกิดและการดำรงอยู่เป็นลิขิต ใครเกิดที่ไหน เกิดอย่างไร อยู่ที่ใดก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ทุกคนต้องรอดหมด (อันนี้ดี)

4. ก๊กตัวประกอบ (พวกนี้ส่วนใหญ่ คนมีเหตุผลไม่ชอบ) เช่น กลุ่มไคฟง (ดีบ้าง ร้ายบ้างตามคำสั่ง) กลุ่มสองปอ (กลุ่มปลาวาฬเพชฌฆาต) กลุ่มสองกอ (มีหน้าที่เลือกตั้ง แต่กลับชอบเทพตั้ง) กลุ่มบัณฑิตจอหงวน (เสนอหน้าทุกครั้งที่มีกลิ่นอายการปฏิวัติ) กลุ่มวานิช (ท่อน้ำเลี้ยงใหม่ เฮด้วยหากใครชนะ ตอนนี้กำลังโดน DSI ตามอายัดอยู่) สุดท้ายคือกลุ่มนักรบนิรนาม (จะเลือกเวลาออกแสดงเฉพาะเมื่อตอนมีการมอบดอกไม้ แต่น่าเสียดายที่เชื้อไวรัสปฏิวัติยังติดอยู่ในกระแสเลือดจนถึงวันนี้ก็ยังหายาฆ่าเชื้อร้ายตัวนี้ยังไม่ได้)

5. ก๊กคนดีศรีอยุธยา (เทวดาเดินดิน กินข้าวแกง) คณะนี้มีหลายชื่อหลายแนว เช่น ราษฎรอาวุโส (มีอายุและประสบการณ์ร่วม 100 ปี ชอบมองโลกแบบสวรรค์ จึงจริงบ้างไม่จริงบ้าง อ่านแล้วปวดหัว) รัฐบุคคล (ชุดนี้ก็อายุเยอะ แต่เพิ่งจะจุติมาปรากฏที่สนามม้า) ข้อเสนอที่ผ่านมาแม้จะมองดูดี แต่ผิดกฎหมายทั้งนั้น กลุ่ม กปปส.ที่อ้างว่า รักชาติ (ปานจะกลืนกิน) ประกาศจะดำเนินกิจกรรมแบบสงบ สันติ อหิงสา (แต่เอาแท้จริง กลับไล่ตีคน ยิงคนกลางวันแสกๆ) กลุ่ม คปท. (กลุ่มนี้เป็นอสูรฮาร์ดคอร์ ตีรันฟันแทงไม่เลือกหน้า) กลุ่มสื่อเสี้ยมทั้งสายหลักและ Social Network มีหน้าที่ขยายความแตกแยกและสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ในการต่อสู้คาบนี้ ก๊กประชาธิปไตยก้าวหน้าต่อสู้อย่างเดียวดาย (แต่ก็มีฝ่ายชนบทอยู่เคียงข้าง) ขณะนี้สถานการณ์กำลังถูกรุมยำ โดยอีกสี่กลุ่มที่เหลือ ศึกแรกดูจะซวนเซถอยไม่เป็นขบวน ขณะนี้ดูพอจะตั้งตัวได้เพราะผลจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ได้รับเสียงเชียร์สนับสนุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะพี่เบิ้มอย่างสหรัฐและจีน แถมเลขา UN ยังขอแจมด้วย เล่นเอาฝ่ายถืออาวุธต้องผิดนัดกันระนาวเชียวแหละ

วันนี้ เอาเท่านี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปจะเล่าถึง กลศึกในยุทธการต่างๆ แต่เอาเป็นว่า หมอดูบอกว่า รอดก็แล้วกันจะได้มีกำลังใจอ่านต่อ



มหาภารตะไทย : สงครามประชาธิปไตย ตอนที่ 3

ชุดนี้เป็นตอนที่3 (เป็นชุดเกือบจบ) ที่ยาวเพราะการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบไทยๆของเราคงจะไม่สั้นแน่(จบยาก) ไอ้ที่ผ่านมาก็ 82 ปีแล้วและที่กำลังจะผ่านไปก็ไม่รู้จะอีกนานเท่าไหร่ (น่าจะเป็นสิบสิบปีแน่ๆ) และสุดท้ายกว่าจะผ่านถึงก็คงจะยาวนานเป็นสถิติโลกแน่ๆ

ผมจะขอแบ่งยุคสมัยของการต่อสู้(แย่งชิง) เป็น3ระยะนะครับ คือ ระยะแรกจะเป็น ระยะพัฒนาการ ระยะที่สองจะเป็น ระยะแห่งการแย่งชิงเข่นฆ่าและสุดท้ายจะเป็นระยะแห่งการสถาปนาที่ยั่งยืน (ขอให้มีจริงๆเถอะจะนานเท่าใดก็จะยอมรอ)

ระยะแรกหรือระยะพัฒนาการนี้จะเกี่ยวข้องกับพระวิริยะอุตสาหะและความคิดริเริ่มขอพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ คือ

1. ปี พ.ศ. 2248 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงมีพระบรมราชโองการอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งให้เลิกทาสและเลิกไพร่ การยกเลิกทาสและไพร่นี้แหละที่เป็น ประกายแสงสว่างแห่งสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการเริ่มต้นแห่งการยอมรับและความมีอิสรภาพของมนุษย์อันเป็นจุดกำเนิดของเสรีภาพในกาลต่อมา(สิทธิ เสรีภาพ และภราดรภาพเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย)

2. ปี พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 ได้ทรงนำประสบการณ์จากการศึกษาที่ประเทศอังกฤษมาทรงสร้างดุสิตธานี ณ วังพญาไท (เมืองเล็กๆประกอบด้วย พระราชวัง รัฐสภา สถานที่ราชการ ธนาคาร เป็นต้น) เพื่อทดลองแบบประชาธิปไตยของประเทศไทยโดยทรงให้มีธรรมนูญการปกครองในลักษณะ นคราภิบาล มีพรรคการเมืองสองพรรค มีการเลือกตั้ง มีสภาการเมือง มีตำแหน่งนายกเทศมนตรี มีศาลาประชาคมหรือสภาจังหวัดและยังทรงอนุญาตให้มีหนังสือพิมพ์ชื่อดุสิตสมิต

3. ปี พ.ศ. 2474 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เรียกขานว่า ปรมิตราธิราช เพื่อหวังให้เป็นฐานรากของจุดเปลี่ยนผ่าน (Transition)สู่การปกครองแบบประชาธิปไตย (จนป่านนี้ยังไม่ถึงเลย) รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีสภาที่ปรึกษาและพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐธรรมนูญที่คนเก่าคนแก่ (ผมฟังจากบิดาผมนะครับ) วิจารณ์ว่าเป็นการชิงสุกก่อนห่าม เพราะในขณะนั้นมีพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และปวงอำมาตย์น้อยใหญ่ไม่สบายใจรุมขัดขวางเพราะไม่อยากเสียอำนาจ หรือวิจารณ์แบบสั้นๆก็คือ พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระเนตรยาวไกลและไม่ทรงยึดหวงอำนาจแต่พวกพ้องน้องพี่รวมถึงขี้ข้า(อำมาตย์โบราณ)กลับยึดติดอำนาจ(เหมือนอำมาตย์สมัยใหม่เลย)

24 มิถุนายน 2475 พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาและพรรคพวกรวม 99 ท่านยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยก่อให้เกิดรัฐบาลภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นครั้งแรกโดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีและอยู่ดำรงตำแหน่งนานขาดหนึ่งปีไป 4 วัน

4. ระบอบประชาธิปไตยถูกทดสอบโดยการปฏิวัติ พระองค์เจ้าบวรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมและคณะ (ในการนี้ลูกผู้น้องคุณตาผมก็เอาด้วย) ใช้กำลังทหารเข้ายึดกรุงเทพแต่ถูก พท.หลวงพิบูลสงครามปราบทำให้ทุกท่านถูกเนรเทศไปอยู่เกาะตะรุเตาเสียหลายปี (ผมขอแนะนำ โดยอิงประสบการณ์และประวัติศาสตร์ครอบครัวให้เนรเทศพวกชอบปฏิวัติไปอยู่เกาะ รวมถึงคุณสุเทพที่ชอบประกาศปฏิวัติประชาชนด้วย)

ก่อนจะไปเริ่มยุคที่สอง ซึ่งเต็มไปด้วยการตีรันฟันแทงแย่งชิงอำนาจกันยาวนานระหว่างนักการเมืองและทหาร ผมคงต้องขอใช้วโรกาสนี้กราบแทบพระบาทที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมยอมลดพระราชอำนาจส่วนพระองค์และพระราชทานให้ปวงชนชาวไทยได้เริ่มมีเสรีภาพและความเป็นไท เพียงเสียดายแต่ที่ยังมีผู้คนที่มากด้วยกิเลส (ยังมีชีวิตอยู่ซะด้วย) ยังคงท่องหาอำนาจอยู่มิรู้จบมาขัดขวางแนวทางที่ทรงพระราชทานไว้ มิเช่นนั้นประเทศไทยและสังคมไทยคงจะดีกว่าที่เห็นดังเช่นปัจจุบันเป็นแน่แท้

กปปส.ของคุณสุเทพที่เรียกร้องการปฏิวัติประชาชน (เพื่อตัวเอง) และขัดขวางการเลือกตั้ง(เพราะกลัวแพ้)และปชป.ที่บอยคอตการเลือกตั้งมาแล้วสองครั้งและฟ้องโมฆะการเลือกตั้งทั้งๆที่ไม่ใช่ผู้เสียหาย (แต่เป็นผู้ทำให้เสียหาย)น่าจะอยู่ในกลุ่มพวกขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยและคงเป็นพวกเดียวกับพวกมีขี้ไคลเป็นกิเลส หากไม่ใช่ก็ปฏิเสธด้วยครับ


https://www.facebook.com/photo.php?fbid=283196728499430&set=a.234443300041440.1073741829.230759650409805 
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=283871178431985&set=a.233793033439800.1073741828.230759650409805
https://www.facebook.com/dr.plodprasop/photos/a.234443300041440.1073741829.230759650409805/285218184963951/ 


No comments:

Post a Comment