2011-03-01

P ความจริงย่อมลอยขึ้น 1

“ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ” ตอน พระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง

บทนำ
ประเทศไทยปกครองด้วยระบบศักดินามานานหลายร้อยปี พวกเจ้าศักดินาจะครองบ้านครองเมือง ตั้งตนเป็นเจ้าของที่ดินทั้งที่ตนไม่เคยออกแรงถางป่าพันไร่ มีอำนาจเป็นเจ้าเหนือหัวเหนือชีวิตผู้คนในบ้านเมือง ดังที่พวกเรารู้จักกันในนามพระมหากษัตริย์, พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน, พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งชื่อของเขาได้บ่งถึงความยิ่งใหญ่กับฟ้าอยู่ในตัว ข้าราชบริพารและไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างต้องทำมาหากินเป็นชาวนาชาวไร่ ไม่มีใครเป็นอิสระ ต้องเป็นไพร่ติดที่ดินสังกัดเจ้าศักดินาคนใดคนหนึ่ง ปีหนึ่งๆไพร่ชายที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปต้องถูกเกณฑ์แรงงานถึง ๖ เดือน คือเข้าเดือนเว้นเดือนโดยไม่มีค่าตอบแทนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ซ้ำยังต้องนำข้าวไปกินเอง ทุกคนต้องเป็นข้ารับใช้แรงงาน ไปรบ ไปทำอะไรต่อมิอะไร แม้แต่ไปตายตามที่เจ้าศักดินาสั่ง ต้องทำเช่นนี้จนถึงอายุ ๖๐ ปีจึงจะเป็นไท ชีวิตไพร่จึงเหมือนวัวควายที่พูดได้ จะอยู่จะตายขึ้นอยู่กับคำสั่งของเจ้านาย หากเจ้าศักดินายกที่ดินให้ใคร ไพร่ติดที่ดินนั้นก็ต้องไปขึ้นกับเจ้าศักดินาคนใหม่ทันที นอกจากนั้นการเพาะปลูกของไพร่ยังต้องถูกเรียกเก็บภาษี ถูกรีดอากรในรูปของเงินและพืชผลอีกหลายประเภท พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากแค้น ต้องทำงานหนักหน่วงไม่เพียงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว แต่ยังต้องเลี้ยงเจ้าศักดินาของตน แท้ที่จริงชีวิตของชาวไทยทุกคนมีไว้เพื่อเลี้ยงดูเจ้าศักดินาทั้งสิ้น ใครที่ทนไม่ได้ก็จะหนีไปอยู่ป่าอยู่ดง ไปให้ไกลๆพ้นจากเงื้อมมือการปกครองของพวกเขา คนประเภทนี้เจ้าศักดินาจะไม่รับรองความเป็นคน จะไม่มีสิทธิฟ้องร้อง ร้องเรียนต่อบ้านเมือง ดังได้ตราไว้ในกฎหมายตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาและถอดแบบเป็นกฎหมายตราสามดวงในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ หากคนพวกนี้ถูกค้นพบจะถูกสักข้อมือกลายเป็นไพร่หลวง คือข้ารับใช้ของเจ้าแผ่นดินทันที

ชีวิตของพวกศักดินาจำนวนหยิบมือหนึ่งนี้อยู่กันอย่างฟุ้งเฟ้อหรูหรา กินทิ้งกินขว้าง เสพสุขโดยไม่ออกแรงทำงานใดๆทั้งสิ้น ซ้ำยังดูถูกการใช้แรงงานเป็นสิ่งต่ำต้อยหยาบช้า ขณะที่พวกเขาเฝ้าเสพเมถุนเช้ายันค่ำโดยไม่ใยดีว่าเป็นลูกเต้าและเมียใคร แล้วกลับยกย่องสรรเสริญหญิงนั้นว่ามีบุญวาสนาสูงส่งจึงได้บำเรอเจ้าศักดินา หลายยุคหลายแผ่นดินที่ผ่านมา พวกเขายังคงเสวยสุขบนน้ำตา เลือดเนื้อและความขมขื่นของไพร่ฟ้าชาวไทยทั้งหลาย

การที่ระบบศักดินายืนยงอยู่ได้ยาวนาน สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งคือ การสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นโดยอาศัยบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งที่ผู้คนศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว เช่น แอบอิงพระพุทธศาสนา ด้วยการโอ้อวดว่า กษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า(๑) เพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่า การปกครองของกษัตริย์นั้นชอบธรรมและทั้งๆที่ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎก ทั้ง๘๔,๐๐๐พระธรรมขันธ์จะรับรองว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์เลย พวกเขาก็ยังยืนยันเรียกกษัตริย์ว่า “พระพุทธเจ้าอยู่หัว” ซึ่งเป็นพระนามอันมีไว้เฉพาะพระพุทธองค์ และเรียกลูกกษัตริย์ว่า “หน่อพุทธางกูร” อันหมายถึง ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเป็นการนำเอาพระนามของพระศาสดาอันประเสริฐที่สุดองค์หนึ่งมาใช้โดยปราศจากความเคารพ เช่น รัชกาลที่ ๑ ซึ่งพวกเจ้าศักดินารุ่น “ร.ศ.๒๐๐” พยายามจะยกขึ้นเป็นมหาราช ถึงกับได้รับคำสรรเสริญจากศักดินาด้วยกันที่แต่งหนังสือเทศนาจุลยุทธการวงศ์ว่า “พระองค์เป็นพงศ์พุทธางกูรทรงบำเพ็ญพุทธการจริยา...”

นอกจากแอบอิงพระพุทธศาสนาแล้ว ยังแอบอิงความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือกันมานานได้อย่างวิจิตรพิสดารนั่นก็คือ การที่พวกศักดินาถือว่ากษัตริย์เป็นเทวดาตั้งแต่ขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงสร้างราชาศัพท์ซึ่งมีไว้ใช้เฉพาะกับกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลาย และมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆอันทำให้แลดูว่ากษัตริย์สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น ห้ามมองดูกษัตริย์ โดยอ้างว่าถ้ามนุษย์มองดูพระเจ้าก็เหมือนมองพระอาทิตย์ กษัตริย์จะไม่ยอมให้เท้าเหยียบแผ่นดินโดยไม่ใส่รองเท้า โดยอ้างว่าเท้าของเทวดาย่อมร้อน ถ้าเหยียบแผ่นดินแล้วไฟจะไหม้โลก (๒) นอกจากนี้ยังห้ามแตะต้องกษัตริย์ (๓) ผู้ที่มีสิทธิ์ถูกต้องตัวกษัตริย์ได้จึงมีแต่ช่างตัดผมและนางบำเรอของกษัตริย์เท่านั้น

ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าศักดินายังแต่งตำนานโกหกพกลม โดยอ้างกฎแห่งกรรมมาบิดเบือนว่า พวกตนมีบุญญาธิการสูงส่งหาผู้ใดเปรียบเปรยมิได้ ชาตินี้จึงเกิดมาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ลูกท่านหลานเธอ จึงได้เสวยสุขบรมสุข มีอำนาจเหนือหัวผู้คนทั้งหลาย แท้ที่จริงพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเช่นนั้นเลย ดังจะเห็นได้จากยักคัญสูตรที่พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า คนเราแตกต่างกันเพราะการกระทำหาใช่ชาติกำเนิด ในพระสูตรดังกล่าวได้กล่าวถึงกำเนิดของกษัตริย์โดยไม่ยอมรับเลยว่า กษัตริย์นั้นมีบุญมากกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด


๑. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “เรื่องการปกครองของประเทศสยามโบราณ”
หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) หน้า ๕๔
๒. มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ”สถาบันกษัตริย์” (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๓)หน้า ๑๔-๒๓
๓. เรื่องเดิม หน้า ๑๔

 ความในใจของผู้เขียน
 “ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”

ผู้เขียนขอเรียนชี้แจงไว้เป็นปฐม ณ ที่นี้ว่า จุดเริ่มต้นของการเขียน หาได้มีเจตนาที่จะลบหลู่พระบรมเดชานุภาพขององค์พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยความสำนึกที่รุ่มร้อน และตระหนักต่อหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่เคารพความจริงคนหนึ่ง และด้วยเหตุผลที่ว่า “ข้อเท็จจริง” เป็นสัจธรรมที่มีความเที่ยงตรง มันจึงได้ปรากฏคุณค่าและพระเกียรติอย่างตรงไปตรงมาและแจ่มชัดในตัวมันเอง ดังนั้นความกระทบกระเทือนอันใดที่มี จึงหาใช่เจตนาในข้อเขียนของข้าพเจ้าแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นเพราะข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นเอง

ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นแสงสว่างอันมีคุณค่าและดูเหมือนจะมีคุณค่ายิ่งโดยเฉพาะในยุค ๒๐๐ ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผู้คนส่วนหนึ่งพยายามจะเชิดชูพระเกียรติกษัตริย์ไทยให้สูงส่งเกินจริง ราวกับหวั่นเกรงว่า ข้อเท็จจริงอันเลวร้ายของราชวงศ์จักรีที่ปกปิดกันมาช้านานจะรั่วหลุดไปถึงสายตาปวงชน อันจะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาครั้งใหญ่และจะยังความวิบัติแก่ราชวงศ์จักรี โดยที่แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่อาจคุ้มครองได้

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนกันมา มิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์คือเทพเจ้าอยู่เหนือคำตำหนิใดๆของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้น

ผู้เขียนมีความเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจว่า กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เฉกเช่นคนสามัญ ที่ประกอบคละกันไปด้วยส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญ กับส่วนที่เลวร้ายควรแก่การตำหนิวิจารณ์ ฉะนั้นการที่มีแต่สรรเสริญถ่ายเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการปรับปรุงสร้างสรรค์จึงเป็นหนทางแห่งการเสื่อมถอยมากกว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การศึกษา ความรับรู้ของมนุษย์ได้ก้าวไปไกลมาก อีกทั้งสังคมก็มีสิทธิเสรีภาพ ข้อยึดปฏิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์จึงเป็นเรื่องล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาค้นคว้า ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าใครถูกผิด ใครดีชั่ว อีกประการหนึ่งปุถุชนวิสัยมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งบิดเบือนมากเสียงซุบซิบก็จะหนาหูขึ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันที่ผู้คนวงการต่างๆนำเรื่องในราชสำนักมาเล่าลือจนกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารอย่างกว้างขวาง การโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้คนเพื่อหวังกดหัวประชาชนให้รับใช้พวกตนอย่างงมงายด้วยความสัตย์ซื่อมานับร้อยๆปีนั้น มาบัดนี้จะเป็นหน้าที่ของประวัติศาสตร์ที่จะได้เปิดให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าศักดินาไทย โดยเฉพาะกษัตริย์ราชวงศ์จักรีให้ประจักษ์ชัดต่อประชาชนไทย

ณ ที่นี้ ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณนักคิดนักเขียน นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง พวกเขาได้เขียนบันทึกและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของประวัติศาสตร์ออกมา จนผู้เขียนสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า “ความเป็นจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”

ด้วยความเคารพ
รักษ์ธรรม รักษ์ไทย
๑๑ มี.ค. ๒๕๒๕

พระเจ้าตาก 
กษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง

หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก ๑๕ ปี กรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่ พระองค์เป็นพุทธบริษัทที่ดี เมื่อว่างเว้นจากราชการแผ่นดิน พระองค์จะไปทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานที่วัดบางยี่เรือเป็นนิจ (๑)

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๓ ทางเมืองเขมรเกิดกบฏขึ้นโดยการยุยง แทรกแซงของญวนฝ่ายองเชียงสือ เป็นการหากำลังและเสบียงขององเชียงสือ เพื่อทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กับญวนฝ่ายราชวงศ์ไต้เชิง(เล้) ขณะเดียวกันในกรุงธนบุรีเอง องเชียงชุน(พระยาราชาเศรษฐี)ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตาก ได้ก่อกบฏขึ้นในเดือนอ้าย พ.ศ.๒๓๒๔ หลังจากทำการปราบปรามกบฏสำเร็จในเดือนยี่ พระเจ้าตากได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และทรงตัดสินพระทัยให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเขมรและไปรับมือญวนให้เด็ดขาดลงไป จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่ (๒) เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) (๓) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสาศรี(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี)เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ในครั้งนั้นแม่ทัพใหญ่พยายามรุดหน้าไปตามพระราชโองการ แต่ติดขัดที่แม่ทัพรองบางนายพยายามยับยั้ง เพื่อคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี ส่วนทางญวนซึ่งไม่ต้องการเผชิญศึก ๒ ด้าน ทั้งไทยและญวนราชวงศ์เล้ ได้แต่งทูตมาเจรจาลับกับแม่ทัพรองฝ่ายไทย ทางแม่ทัพรองตกลงจะช่วยเหลือองเชียงสือในอนาคต หากงานที่เตรียมไว้สำเร็จ ทางญวนได้ทำตามสัญญาด้วยการล้อมกองทัพมหาอุปราชองค์รัชทายาทอย่างหนาแน่น เปิดโอกาสให้แม่ทัพรองฝ่ายไทยยกกำลังกลับกรุงธนบุรี (๔)

เหตุการณ์ในกรุงธนบุรี เกิดมีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดความเข้าใจผิดในพระเจ้าตากและชักชวนกบฏย่อยๆขึ้น จากนั้นก็ยกพลมาล้อมยิงพระนคร ขณะเดียวกันภายในกรุงธนบุรีเองก็มีคนก่อจลาจลขึ้นรับกับกบฏ พระเจ้าตากทรงบัญชาการรบจนถึงรุ่งเช้า จึงทราบว่าพวกกบฏเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ก็สลดสังเวชใจ เพราะพระทัยทรงตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติมุ่งโพธิญาณเป็นสำคัญ และทรงเห็นว่าหากการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวไทย พระองค์จะทรงหลีกทางให้ พวกกบฏจึงทูลให้ออกบวชสะเดาะเคราะห์สัก ๓ เดือนแล้วค่อยกลับสู่ราชบัลลังก์ ขณะนั้นพระยาสรรคบุรี พระยารามัญวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ในกรุงและมีความภักดีต่อพระเจ้าตาก เห็นเป็นการคับขัน จำต้องผ่อนคลายไปตามสถานการณ์

หลังจากบวชได้ ๑๒ วัน พระยาสุริยอภัยหลานเจ้าพระยาจักรี ยกทัพมาโดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต เกิดการรบพุ่งกับกำลังของกรุงธนบุรีและได้รับชัยชนะ จากนั้นอีก ๓ วันคือเข้าวันที่ ๖ เมษายน เจ้าพระยาจักรี(ด้วง)ซึ่งเลี่ยงทัพจากสงครามเขมรมาถึงกรุงธนบุรี ได้มีการสอบถามความเห็นกัน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังจงรักภักดีและเชื่อในปรีชาสามารถของพระเจ้าตาก ต่างยืนยันให้อัญเชิญพระองค์มาครองราชย์ต่อไป แต่ข้าราชการเหล่านี้กลับถูกคุมตัวไปประหารชีวิต เช่น เจ้าพระยานครราชสีมา(บุญคง ต้นตระกูลกาญจนาคม), พระยาสวรรค์ (ต้นตระกูลแพ่งสภา), พระยาพิชัยดาบหัก (ต้นตระกูลพิชัยกุลและวิชัยขัทคะ), พระยารามัญวงศ์ (ต้นตระกูลศรีเพ็ญ) เป็นต้น จำนวนกว่า ๕๐ นาย

พระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศพระภิกษุในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้งและอัญเชิญพระศพไปฝังที่วัดอินทรารามบางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง ส่วนราชวงศ์ที่เป็นชายและเจริญวัยทั้งหมดถูกจับปลงพระชนม์หมด นอกนั้นให้ถอดพระยศ แม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา (๕) เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมซึ่งตั้งบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระใกล้เมืองถลาง ก็ได้ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

เมื่อข่าวการปลงพระชนม์พระเจ้าตากแพร่ออกไป เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดอันเป็นเมืองสำคัญทางตะวันตก ก็ตกไปเป็นของพม่าในปีนั้นเอง และเนื่องจากพันธะสัญญาที่ทำไว้กับญวนอย่างลับๆ ไทยจึงต้องช่วยญวนฝ่ายองเชียงสือรบกับญวนฝ่ายราชวงศ์เล้ถึง ๒ ครั้ง รวมทั้งการช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน พอครั้นญวนฝ่ายองเชียงสือมีกำลังกล้าแข็งขึ้น ไทยกลับต้องเสียเมืองพุทไธมาศและผลประโยชน์อีกมากมายแก่ญวนไป (๖)  โอ้อนิจจา .... เรื่องนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ด้วยความเหิมเกริมทะยานอยากได้อำนาจสูงสุด เจ้าพระยาจักรีจึงเป็นกบฏ ทรยศต่อพระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กู้ชาติไทย กระทำการเข่นฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม อำมหิตที่สุด ซ้ำยังเสริมแต่งใส่ร้ายพระเจ้าตาก ว่าวิปลาสบ้าง (๗) กระทำการมิบังควรแก่สงฆ์บ้าง วิกลจริตในการบริหารราชการบ้าง จากนั้นก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ และเริ่มสร้างพระราชวังใหม่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ “ราชวงศ์จักรี”

และด้วยความโหดร้ายบนเลือดเนื้อและชีวิตของกษัตริย์ในเพศพระภิกษุ กษัตริย์องค์ต่อๆมาในราชวงศ์จักรีจึงเต็มไปด้วยความบาดหมาง แก่งแย่งชิงราชสมบัติกันทุกรัชกาล ลูกฆ่าพ่อ พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่อย่างไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งในรัชกาลองค์ปัจจุบัน


๑. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดารเล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๒. ตามพงศาวดารกล่าวว่า “ให้พระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่” (ตามประเพณีสงคราม กษัตริย์จะเป็นจอมทัพและจะแต่งตั้งผู้ที่ไว้วางพระทัยที่สุดเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นองค์รัชทายาทมากกว่าพระยาจักรี...ผู้เขียน)
๓. ตามพงศาวดารบางฉบับอ้างว่าได้ยศเป็น “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก” ชื่อนี้เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันจนถึงปัจจุบัน
๔. นายตันหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวน เล่ม ๒ หน้า๓๗๘-๓๘๒
๕. กรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ และลำดับสกุลเก่า ภาค ๔ พิมพ์ครั้งที่ ๒
๖. นายหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวนเล่ม ๒ หน้า ๒๙๔, ๕๑๘ และกรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๑๓
๗. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๘. ประเด็นวิกลจริต อาจารย์ขจร สุขพานิช ได้เคยสัมภาษณ์ในวิทยาสารปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๓๒,๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ กล่าวว่า “มีหลักฐานเป็นเอกสารภาษาฝรั่งเศส ซึ่งบาทหลวงในสมัยนั้นเขียนไว้ว่า ท่านเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น เช่น เมื่อครั้งหนึ่งรับสั่งให้บาทหลวงเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า “นี่แก ฉันจะเหาะแล้วนะ” บาทหลวงทูลว่า “ไม่เชื่อ” ท่านก็ว่า “ฮื้อ ไอ้นี่ ขัดคอซะเรื่อย”(หัวเราะ) แล้วก็ไล่ออกไปไม่ได้เฆี่ยนตีอะไร คือบ้าทั้ง ๒๔ ชม.นั้นไม่ใช่ แค่เป็นบางครั้ง นี่เป็นข้อเท็จจริง แต่ผมไม่เขียน ถ้าเขียนแล้วเป็นผลร้ายต่ออนาคต ผมไม่ขียน"


http://www.facebook.com/photo.php?fbid=186677761371146&set=a.147984328573823.28697.147339101971679&comments

หนังสือ "ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำเหนือฟ้าเสมอ" เปิดเผยอีกด้านหนึ่งของเหรียญ
เป็นพงศาวดารฉบับกระซิบ ซึ่งไม่มีให้นักเรียนนักศึกษาได้เรียนได้อ่านกันในแบบเรียนกระทรวงศึกษาของรัฐบาล

“ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ” ตอน พระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง
http://www.facebook.com/note.php?note_id=112730948803948

ร.๑ ผู้สถาปนาราชวงศ์จักรีด้วยชีวิตของกษัตริย์ผู้กู้ชาติ - ร.๒กษัตริย์กวี ผู้อื้อฉาวเรื่องโลกีย์ - ร.๓ กษัตริย์ผู้ฆ่าพระราชบิดา
http://www.facebook.com/note.php?note_id=112734852136891

รัชกาลที่ ๔ กษัตริย์อดีตภิกษุ เฒ่าหัวงูผู้ไม่อิ่มในกามคุณ กับยุคโลกตะวันตกล่าอาณานิคมสยา
http://www.facebook.com/note.php?note_id=112747188802324

"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ"ตอนรัชกาลที่5,6และ7กับการแลกเปลี่ยนอาณานิคมเพื่อราชบัลลังก์
http://www.facebook.com/note.php?note_id=112751215468588

"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ" ตอน รัชกาลที่ ๘ กษัตริย์หนุ่ม ผู้เป็นเหยื่อของความทะเยอทะยาน
http://www.facebook.com/note.php?note_id=113479448729098

"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ" ตอน รัชกาลที่9 คนบาปในคราบนักบุญ ภาคต้น
http://www.facebook.com/note.php?note_id=113481812062195

"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ" ตอน รัชกาลที่9 คนบาปในคราบนักบุญ ภาคจบ
http://www.facebook.com/note.php?note_id=113483342062042

"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ" พงศาวดารกระซิบ ภาคผนวก
http://www.facebook.com/note.php?note_id=113483882061988

อาจจะยาวสักหน่อย อาจจะไม่ตรงใจ
แค่อยากให้รู้ไว้ นี่คือ"พงศาวดารกระซิบ" ฉายภาพอีกด้านหนึ่งของเหรียญ โปรดใช้วิจารณญาณในการคิด การตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆอย่างมีสติ
ปล.หนังสือ"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำเหนือฟ้าเสมอ"ถูกเขียนขึ้นในปีพ.ศ.2525

No comments:

Post a Comment