KP Page
May 18, 2012 - Public
ปราบเล่าถึงสาเหตุการถ่ายรูปของ อั้ม เนโกะ ซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นน้อง ว่ามาจากการที่อั้มเกิดคำถามในวันแรกพบของนักศึกษาใหม่ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดอาจารย์ปรีดี ว่าทำไมจึงมีแต่กิจกรรมเคารพสักการะบูชารูปปั้นอาจารย์ปรีดีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รุ่นน้องทุกคนจะถูกรุ่นพี่ปลูกฝังให้ไหว้ “พ่อปรีดี” ทั้งที่ความจริงแล้วอาจารย์ปรีดีมีเรื่องราวมากมายที่ถูกลืมและสังคมต้องรู้ แต่ไม่มีการพูดถึงเลย รวมทั้งเห็นระบบโซตัสแล้วมองว่านักศึกษาควรจะมีความเท่าเทียมกันตามเจตนารมณ์ อุดมการณ์ ของอาจารย์ปรีดี ซึ่งต้องศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวของอาจารย์ปรีดีจึงจะเข้าใจ
ปราบ กล่าวว่า อั้มถ่ายภาพดังกล่าวเพื่อท้าทายสังคมหรือคนที่รักอาจารย์ปรีดีให้ตั้งคำถามกับตนเองว่า เราควรจะรักและเคารพแบบใด การเคารพอาจารย์ปรีดีแบบบูชารูปปั้น เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ “ล่วงละเมิดมิได้” มันจะนำไปสู่การเคารพแบบไม่คิด เคารพเพราะเห็นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต้องบูชา ไม่ศึกษาเรื่องราวและแนวคิดของเขาให้ดีก่อนที่จะเคารพ ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อะไร การเคารพอาจารย์ปรีดีในทางที่ดีที่สุดคือการนำเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีไปเรียนรู้และไปกระจายให้มากที่สุด ไม่ใช่การออกมาปกป้องรูปปั้น
“อาจารย์ปรีดีพยายามทำให้สังคมไทยมีสิทธิเสรีภาพ มีการเคารพซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลาย และเปิดธรรมศาสตร์ให้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งองค์ความรู้เก่า และการคิดแบบใหม่ที่แตกต่างสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น แต่ทุกวันนี้การศึกษาไทยไม่ได้สอนให้เด็กเข้าใจการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างบ้างเลย ไม่ได้สอนให้เคารพถึงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น กลับเป็นการสนับสนุนประชาชนที่เห็นต่างถูกทำร้าย ถูกฆ่า ถูกไล่ออกจากประเทศ ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ถูกไล่ออกจากสังคมโดยรวมโดยที่ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้แก่คนที่คิดต่าง เมื่อคุณมีพื้นที่ที่จะเชื่อแล้ว คุณก็ต้องมีพื้นที่ให้กับคนที่ไม่เชื่อได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างสันติ อย่างมีเหตุผลซึ่งกันและกัน จึงจะนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎร์และอาจารย์ปรีดีได้วางรากฐานเอาไว้”
อาจารย์ปรีดีไม่ต้องการให้มนุษย์มีการแบ่งสูงแบ่งต่ำ ในงานรับเพื่อน (การรับน้องของธรรมศาสตร์) รุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้องลงไปกราบอาจารย์ปรีดี แต่ตอนไหว้ไม่ได้สอนให้รุ่นน้องตระหนักถึงสิ่งที่อาจารย์ปรีดีต้องการสื่อถึงสังคม หรือจุดยืนทางการเมืองของธรรมศาสตร์ตอนที่ก่อตั้งเลยแม้แต่นิดเดียว รู้เพียงว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ปรีดีต้องการให้ตัวเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพเจ้าที่ต้องมาบนขอเกรดเอ ขอให้ได้งานทำดีๆ หรือไม่ และเราจะให้ความสำคัญกับสิ่งๆไหนระหว่างลัทธิบูชารูปปั้น หรือการนับถือที่แนวคิดและการกระทำของอาจารย์ปรีดี
http://prachatai.com/journal/2012/05/40577
ปราบ กล่าวว่า อั้มถ่ายภาพดังกล่าวเพื่อท้าทายสังคมหรือคนที่รักอาจารย์ปรีดีให้ตั้งคำถามกับตนเองว่า เราควรจะรักและเคารพแบบใด การเคารพอาจารย์ปรีดีแบบบูชารูปปั้น เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ “ล่วงละเมิดมิได้” มันจะนำไปสู่การเคารพแบบไม่คิด เคารพเพราะเห็นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต้องบูชา ไม่ศึกษาเรื่องราวและแนวคิดของเขาให้ดีก่อนที่จะเคารพ ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อะไร การเคารพอาจารย์ปรีดีในทางที่ดีที่สุดคือการนำเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีไปเรียนรู้และไปกระจายให้มากที่สุด ไม่ใช่การออกมาปกป้องรูปปั้น
“อาจารย์ปรีดีพยายามทำให้สังคมไทยมีสิทธิเสรีภาพ มีการเคารพซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลาย และเปิดธรรมศาสตร์ให้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งองค์ความรู้เก่า และการคิดแบบใหม่ที่แตกต่างสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น แต่ทุกวันนี้การศึกษาไทยไม่ได้สอนให้เด็กเข้าใจการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างบ้างเลย ไม่ได้สอนให้เคารพถึงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น กลับเป็นการสนับสนุนประชาชนที่เห็นต่างถูกทำร้าย ถูกฆ่า ถูกไล่ออกจากประเทศ ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ถูกไล่ออกจากสังคมโดยรวมโดยที่ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้แก่คนที่คิดต่าง เมื่อคุณมีพื้นที่ที่จะเชื่อแล้ว คุณก็ต้องมีพื้นที่ให้กับคนที่ไม่เชื่อได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างสันติ อย่างมีเหตุผลซึ่งกันและกัน จึงจะนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎร์และอาจารย์ปรีดีได้วางรากฐานเอาไว้”
อาจารย์ปรีดีไม่ต้องการให้มนุษย์มีการแบ่งสูงแบ่งต่ำ ในงานรับเพื่อน (การรับน้องของธรรมศาสตร์) รุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้องลงไปกราบอาจารย์ปรีดี แต่ตอนไหว้ไม่ได้สอนให้รุ่นน้องตระหนักถึงสิ่งที่อาจารย์ปรีดีต้องการสื่อถึงสังคม หรือจุดยืนทางการเมืองของธรรมศาสตร์ตอนที่ก่อตั้งเลยแม้แต่นิดเดียว รู้เพียงว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ปรีดีต้องการให้ตัวเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพเจ้าที่ต้องมาบนขอเกรดเอ ขอให้ได้งานทำดีๆ หรือไม่ และเราจะให้ความสำคัญกับสิ่งๆไหนระหว่างลัทธิบูชารูปปั้น หรือการนับถือที่แนวคิดและการกระทำของอาจารย์ปรีดี
http://prachatai.com/journal/2012/05/40577
KP Page
May 16, 2012 - Public
รายการ Divas Cafe ประจำวันที่ 16 พ.ค. 2555 : เจาะความคิดนอกกรอบ "ฟลุค-เดอะสตาร์"
เจาะความคิดนอกกรอบ "ฟลุค-เดอะสตาร์" รายการ Divas Cafe ประจำวันที่ 16 พ.ค. 2555 เปิดเปลื้อง เปลือยหัวใจ เจาะความคิดนอกกรอบ ที่ท้าทายสังคม ของ "ฟลุค-เดอะสตาร์" คนสาธารณะ ก...
KP Page
May 18, 2012 (edited) - Public
บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า พระยอดฟ้า สุริโยทัย พอจะนึกออก และนี่คือเด็กรุ่นใหม่ ที่ อำมาตย์ตามไม่ทัน ...
เจาะความคิดนอกกรอบฟลุคเดอะสตาร์ Divas Cafe 16พค55
เจาะความคิดนอกกรอบฟลุคเดอะสตาร์ Divas Cafe 16พค55
Add a comment...
KP Page
May 18, 2012 (edited) - Public
สมวารีพักตร์ //
ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักรูปปั้น
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=355688711162219&set=a.238992042831887.60223.147377571993335
ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักรูปปั้น
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=355688711162219&set=a.238992042831887.60223.147377571993335
KP Page
May 17, 2012 - Public
เปิดใจ "อั้ม เนโกะ" สาวโหนรูปปั้นปรีดี
http://prachatai.com/journal/2012/05/40511
ภาพนี้ถูกโพสต์ครั้งแรกโดย "อั้ม เนโกะ" เอง พร้อมข้อความกำกับ"♥ ความรัก ความคลั่งคืออะไร แต่ประเทศไทยก็ไม่มีกฎหมายหมิ่นท่านปรีดี เพราะเราทุกคนเท่ากัน"
"เหมือนเราให้ความสำคัญ อ.ปรีดี ในฐานะคนที่มากกว่าคน สร้างความศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปหรือเปล่า" เธอตั้งข้อสังเกตและว่า อาจารย์ปรีดีไม่ได้เป็นคนที่วิเศษวิโส วิจารณ์ได้ หากกลุ่มที่มีแนวคิดเสรีนิยมยังมีข้อยกเว้น ไม่วิพากษ์วิจารณ์ อ.ปรีดี ซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยม แล้วจะใช้หลักการวิจารณ์โดยเท่าเทียมกันได้อย่างไร
เธอกล่าวพร้อมกล่าวถึงกรณีที่มีการรุมประชาทัณฑ์คนทุบพระพรหมจนถึงแก่ความตายว่า เราควรให้ความสำคัญกับอะไร ระหว่างหินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยชุดความเชื่อหนึ่งๆ กับชีวิตคน ทำไมจึงมีการสร้างความชอบธรรมให้คนที่รุมประชาทัณฑ์ ทั้งที่มีกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่มีการจัดการกับวิถีประชาที่ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิในชีวิตคนๆ หนึ่งจนถึงแก่ความตาย ซ้ำคนเหล่านั้นยังได้รับการยกย่องว่าปกป้องศาสนา
http://prachatai.com/journal/2012/05/40511
ภาพนี้ถูกโพสต์ครั้งแรกโดย "อั้ม เนโกะ" เอง พร้อมข้อความกำกับ"♥ ความรัก ความคลั่งคืออะไร แต่ประเทศไทยก็ไม่มีกฎหมายหมิ่นท่านปรีดี เพราะเราทุกคนเท่ากัน"
"เหมือนเราให้ความสำคัญ อ.ปรีดี ในฐานะคนที่มากกว่าคน สร้างความศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปหรือเปล่า" เธอตั้งข้อสังเกตและว่า อาจารย์ปรีดีไม่ได้เป็นคนที่วิเศษวิโส วิจารณ์ได้ หากกลุ่มที่มีแนวคิดเสรีนิยมยังมีข้อยกเว้น ไม่วิพากษ์วิจารณ์ อ.ปรีดี ซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยม แล้วจะใช้หลักการวิจารณ์โดยเท่าเทียมกันได้อย่างไร
เธอกล่าวพร้อมกล่าวถึงกรณีที่มีการรุมประชาทัณฑ์คนทุบพระพรหมจนถึงแก่ความตายว่า เราควรให้ความสำคัญกับอะไร ระหว่างหินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยชุดความเชื่อหนึ่งๆ กับชีวิตคน ทำไมจึงมีการสร้างความชอบธรรมให้คนที่รุมประชาทัณฑ์ ทั้งที่มีกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่มีการจัดการกับวิถีประชาที่ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิในชีวิตคนๆ หนึ่งจนถึงแก่ความตาย ซ้ำคนเหล่านั้นยังได้รับการยกย่องว่าปกป้องศาสนา
KP Page
May 16, 2012 - Public
"ฟลุ๊ค เดอะสตาร์" สารภาพ "ผมไม่กล้าสวนกระแสในงานนาฎราช"
-------------------------------
ใครยังไม่เคยอ่าน "ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ คิดยังไงกับคำ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ กล่าวถึงงานนาฏราชเมื่อสองปีที่แล้วดูค่ะว่า ฟลุ๊ค เขาพูดว่ายังไงมั่ง ยาวไปหน่อยค่ะ แต่อ่านแล้ว ฟลุ๊ค มีความคิดที่ดีมากๆๆค่ะ เพื่อนๆๆ@^_^@
**********************************************************
"ฟลุ๊ค เดอะสตาร์" สารภาพ "ผมไม่กล้าสวนกระแสในงานนาฎราช"
**********************************************************
คำอธิบายจากใจคนไทยคนนึงนี้เป็นบทความที่เขียนอยู่ในเฟรซบุ๊คและทวิตเตอร์ของคนใช้ชื่อว่า fookkub. ซึ่งเชื่อว่าเป็นของนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง ฟลุ๊คเดอะสตาร์ โดยใจความของบทความนี้แสดงความรู้สึกเสียใจที่ไม่แสดงความกล้าหาญจุดยืนของตน และพูดถึงงานนาฎราชเมื่อสองปีก่อนไว้อย่างน่าฟังดังนี้
กล่าวถึงข้อความในทวิตเตอร์ ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีคนเอาข้อความของผมไปตีความว่าผม เป็นผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ทวิตเตอร์เป็นการโพสที่จำกัดข้อความการส่งสารจึงเป็นไปได้ลำบากและอาจผิดพลาดและไม่ครบถ่วนสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดได้ง่าย เป็นความผิดและเบาปัญญาของผมเองที่ไม่ระมัดระวังเรียบเรียงและโพสข้อความทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นในเจตนาของผม ทั้งที่เจตนาแท้จริงของผมนั้น เพียงต้องการแสดงความรู้สึกเสียใจและให้มุมมองต่อสังคมว่า เดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้วมีคนกลุ่มนึงซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกันเสียชีวิตกลางเมืองหลวง นั้นคงพอตอบคำถามของท่านที่สงสัยว่าเรื่องผ่านมาสองปีแล้วทำไมถึงหยิบมาพูดนะครับ และตอบคำถามสำหรับท่านที่อ่านแค่บ้างทวิตที่รีทวิตส่งต่อกันไม่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นนะครับ ก่อนหน้านี้ผมตัดสินใจปิดทวิตเตอร์ของผมอย่างถาวรเพื่อจำกัดความบานปลายของเรื่องนี้ แต่เมื่อได้สติคิดไตร่ตรองก็ผมว่าการหลบหลีกนี้คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ข้อสงสัยของท่านที่ตามทวิตที่มีต่อตัวผมยังคงมีอยู่ จึงอยากจะข้อชี้แจงถ้าท่านรำลึกได้ว่าผมก็เป็นคนไทยพอๆกับท่านเราคงเป็นญาติกันมาในชั่วอายุคนนึงเมื่ออดีตของต้นตระกูลเรา ก็ได้โปรดเปิดใจให้ผมบ้างนะครับ
ในตอนต้นของทวิตเรื่องนี้ ผมได้กล่าวถึงความรู้สึกและมุมมองของผมว่า ตัวผมเองเกิดความรู้สึกสามอย่างเมื่อถึงเดือนนี้ คือ ตกใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวเอง กับเหตุการณ์ในเดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ว่าตกใจที่คนไทยห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะ ความคิดที่แตกต่างกัน ตกใจที่มันเกิดขึ้นในเมืองหลวงซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างก็มีการศึกษาสูง เสียใจกับการที่ได้รู้จักด้านมืดของผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเราที่มีอำนาจแต่กลับเพิกเฉยปล่อยให้เหตุการณ์นี่เกิดขึ้น อย่างที่สามที่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือความรู้สึกผิดหวังในการกระทำของตัวเองที่ไม่หนักแน่นและไม่มีจุดยืนไม่ซื่อสัตย์ต่อความคิดของตน ยืนขึ้นปรบมือตามผู้คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานนั้น..
ตรงนี้เองครับที่ผมไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน กล่าวถึงงานนาฏราชเมื่อสองปีที่แล้วนะครับนี่คือคำพูดของคุณพงษ์พัฒน์ครับ
“พ่อ เป็นเสาหลักของบ้านนะครับ บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคนนะครับ ผมเกิดมาในบ้านหลังนี้ก็สวยงามมากนะ สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลกกว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมานะครับ จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแล…ความสุขของทุก ๆ คนในบ้าน ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกกับคน ๆ นั้นว่า “ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน”
จากเนื้้อหาข้างต้นในแง่ที่ว่า ใครไม่รักพ่อ เนรคุณต่อบรรพบุรุษ ก็ไม่สมควรอยู่ในบ้านในแผ่นดินนี้ที่เรียกว่าประเทศไทยนี้ ผมเห็นด้วยกับคุณพงษ์พัฒน์ทุกประการครับ แต่ประเด็นนึงที่มันเป็นความจริงในวันนั้น16 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเกิดขึ้นข้างนอกหอประชุมที่จัดงานนาฏราชในขณะนั้นคือ คนเสื้อแดงและทหารปะทะต่อสู้ห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิตไปแล้วจำนวนมากในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้น จากการพูดเชิงเปรียบเทียบของคุณอ๊อฟทำให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าใครสักคนในประโยคนี้
" ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน"
ใครคนนั้นที่คุณอ๊อฟพูดถึงคือคนเสื้อแดง ตรงนี้เองที่มันค้านกับความรู้สึกผม ว่า คุณจะตัดสินทุกคนว่าเค้าคิดอะไรได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ไช่ตัวเขาไม่ได้เปิดสมองเขาดูความคิดเขา ผ่าหัวใจเค้าดู อาจมีหรืออาจไม่มีคนอย่างว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงตอนนั้น แต่มันถูกต้องหรือ ที่ไปตัดสินเหมารวมว่าทุกคนในกลุ่มเสื้อแดงเป็นอย่างไรคิดอย่างไร
“ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ"
ตรงเช่นกันที่ผมมองว่าทุกคนเข้าใจตรงกัน ว่าคุณอ๊อฟกำลังสื่อสารกับคนเสื้อแดง กำลังบอกว่าถ้าเกลียด ไม่รักพ่อก็ออกไปซะ หากว่าคนที่ตายตอนนั้นเค้าดันตอบได้ว่าเค้าก็ รักพ่อ เหมือนกันละครับ?
การที่ผมทวิตเรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วงหรือปองร้ายสถาบันอันสูงสุดของประเทศเราแต่อย่างไร เพียงแค่ความต้องการของผมนั้นเพียงแค่จะบอกสังคมว่า สองปีที่แล้วมีคนไทยตาย ด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันบนแผ่นดินที่เรายืนอยู่ด้วยกันนี้ ต้องการย้ำเตือนว่าเป็นการไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมต่อคนตาย ที่เราไปตัดสินเขาด้วยความคิดของเราเอง ผมจึงบอกว่าเสียใจที่วันนั้นไม่มีความกล้าพอที่จะสวนกระแสไม่ลุกขึ้นปรบมือ เพราะ แม้ในมุมที่ดีของข้อความที่คุณอ๊อฟพูดเรื่องความรักพ่อความรู้สึกต่อพระเจ้าแผ่นดินของคุณอ๊อฟที่น่าเคารพคารวะยิ่งนั้น มันปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกด้านอีกมุมคือกำลังมีคนที่สูญเสีย พ่อและแม่ที่สูญเสียลูก ภรรยาที่สูญเสียสามี ลูกที่สูญเสียพ่อแม่เค้าเหล่านั้นก็เป็นคนไทยพอๆกับเราๆท่านๆ ผมจึงคิดว่าในมุมนี้ผมไม่อยากลุกขึ้นปรบมือเพราะนอกจากผมจะปรบมือให้กับความจงรักภักดีของคุณอ๊อฟความรักที่มีต่อพ่อความซาบซึ้งใจที่คนไทยมีต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว อาจมีคนคิดว่าผมกำลังละเลยที่จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต ผมกำลังเหมารวมและเหยียบย้ำซ้ำเติมเขาเหล่านั้นด้วยการลุกขึ้นปรบมือ ผมอาจจะเป็นคนที่ชอบคิดไปไกลเอง หากคุณอ๊อฟพูดในวาระอื่นที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่คนไทยกกลุ่มหนึ่งกำลังโดนตั้งข้อหาไม่จงรักภักดี ทั้งด้วยผังล้มเจ้าและวาทะกรรมมากมายจนสุดท้านเขาเหล่านั้นถึงแก่ชีวิต ผมจะยืนขึ้นปรบมือโดนสดุดีและไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆที่จะแสดงความภูมิใจและความจงรักภักดีเช่นกัน แต่ยิ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปมีการพิสูจน์ว่าผังล้มเจ้าเป็นเรื่องโอละพ่อ และข้อหาต่างๆต่อคนเหล่านั้นจับต้องไม่ได้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกเสียใจกับการกระทำในวันนั้น
ผมไม่ได้ต้องการจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับใครหรือต้องการจะห่ำหั่นกับผู้ใด ที่บอกว่าตนรักและต้องปกป้องสถาบันด้วยการมาตัดสินผมว่าไม่จงรักภักดี ไม่รักพ่อ คุณจะรู้หัวใจผมได้อย่างไร ผมจะรักพ่อน้อยกว่าคุณหากผมไม่ได้ประกาศออกไปว่าผมรักพ่อเหมือนที่คุณประกาศอย่างนั้นหรือครับ
ขอกราบขอโทษคุณ พงษ์พัฒน์นะครับที่ได้กล่าวถึงมากมายในบทความนี้ สุดท้ายที่อยากจะฝากถึงผู้ที่ได้อ่านข้อความของผมว่ากี่ชีวิตแล้วที่ถูกสังเวยไปเพราะข้อหาลมๆ ข้อหาไม่จงรักภักดี ข้อให้คิดให้เยอะๆสำหรับคนที่คอยจ้องจะจับผิดและคอยสงสัยคนอื่นว่าจงรักภักดีหรือไม่ แค่คุณตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของคุณ ชวนเค้าทะเลาะไปเรื่อยเรื่องสถาบัน นั้นก็คือคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายดึงฟ้าลงต่ำและเป็นฝ่ายเริ่มกระบวนการทำร้ายสถาบันอย่างแท้จริงแล้ว
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก คุณ Rose Mary Pachara Thummol 's Facebook เมื่อ 12 เมษายน 2012 เวลา 22:38 น —
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=315499648524987&set=p.315499648524987
-------------------------------
ใครยังไม่เคยอ่าน "ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ คิดยังไงกับคำ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ กล่าวถึงงานนาฏราชเมื่อสองปีที่แล้วดูค่ะว่า ฟลุ๊ค เขาพูดว่ายังไงมั่ง ยาวไปหน่อยค่ะ แต่อ่านแล้ว ฟลุ๊ค มีความคิดที่ดีมากๆๆค่ะ เพื่อนๆๆ@^_^@
**********************************************************
"ฟลุ๊ค เดอะสตาร์" สารภาพ "ผมไม่กล้าสวนกระแสในงานนาฎราช"
**********************************************************
คำอธิบายจากใจคนไทยคนนึงนี้เป็นบทความที่เขียนอยู่ในเฟรซบุ๊คและทวิตเตอร์ของคนใช้ชื่อว่า fookkub. ซึ่งเชื่อว่าเป็นของนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง ฟลุ๊คเดอะสตาร์ โดยใจความของบทความนี้แสดงความรู้สึกเสียใจที่ไม่แสดงความกล้าหาญจุดยืนของตน และพูดถึงงานนาฎราชเมื่อสองปีก่อนไว้อย่างน่าฟังดังนี้
กล่าวถึงข้อความในทวิตเตอร์ ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีคนเอาข้อความของผมไปตีความว่าผม เป็นผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ทวิตเตอร์เป็นการโพสที่จำกัดข้อความการส่งสารจึงเป็นไปได้ลำบากและอาจผิดพลาดและไม่ครบถ่วนสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดได้ง่าย เป็นความผิดและเบาปัญญาของผมเองที่ไม่ระมัดระวังเรียบเรียงและโพสข้อความทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นในเจตนาของผม ทั้งที่เจตนาแท้จริงของผมนั้น เพียงต้องการแสดงความรู้สึกเสียใจและให้มุมมองต่อสังคมว่า เดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้วมีคนกลุ่มนึงซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกันเสียชีวิตกลางเมืองหลวง นั้นคงพอตอบคำถามของท่านที่สงสัยว่าเรื่องผ่านมาสองปีแล้วทำไมถึงหยิบมาพูดนะครับ และตอบคำถามสำหรับท่านที่อ่านแค่บ้างทวิตที่รีทวิตส่งต่อกันไม่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นนะครับ ก่อนหน้านี้ผมตัดสินใจปิดทวิตเตอร์ของผมอย่างถาวรเพื่อจำกัดความบานปลายของเรื่องนี้ แต่เมื่อได้สติคิดไตร่ตรองก็ผมว่าการหลบหลีกนี้คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ข้อสงสัยของท่านที่ตามทวิตที่มีต่อตัวผมยังคงมีอยู่ จึงอยากจะข้อชี้แจงถ้าท่านรำลึกได้ว่าผมก็เป็นคนไทยพอๆกับท่านเราคงเป็นญาติกันมาในชั่วอายุคนนึงเมื่ออดีตของต้นตระกูลเรา ก็ได้โปรดเปิดใจให้ผมบ้างนะครับ
ในตอนต้นของทวิตเรื่องนี้ ผมได้กล่าวถึงความรู้สึกและมุมมองของผมว่า ตัวผมเองเกิดความรู้สึกสามอย่างเมื่อถึงเดือนนี้ คือ ตกใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวเอง กับเหตุการณ์ในเดือนนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ว่าตกใจที่คนไทยห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะ ความคิดที่แตกต่างกัน ตกใจที่มันเกิดขึ้นในเมืองหลวงซึ่งคนส่วนใหญ่ต่างก็มีการศึกษาสูง เสียใจกับการที่ได้รู้จักด้านมืดของผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเราที่มีอำนาจแต่กลับเพิกเฉยปล่อยให้เหตุการณ์นี่เกิดขึ้น อย่างที่สามที่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือความรู้สึกผิดหวังในการกระทำของตัวเองที่ไม่หนักแน่นและไม่มีจุดยืนไม่ซื่อสัตย์ต่อความคิดของตน ยืนขึ้นปรบมือตามผู้คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานนั้น..
ตรงนี้เองครับที่ผมไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน กล่าวถึงงานนาฏราชเมื่อสองปีที่แล้วนะครับนี่คือคำพูดของคุณพงษ์พัฒน์ครับ
“พ่อ เป็นเสาหลักของบ้านนะครับ บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคนนะครับ ผมเกิดมาในบ้านหลังนี้ก็สวยงามมากนะ สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลกกว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมานะครับ จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแล…ความสุขของทุก ๆ คนในบ้าน ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกกับคน ๆ นั้นว่า “ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน”
จากเนื้้อหาข้างต้นในแง่ที่ว่า ใครไม่รักพ่อ เนรคุณต่อบรรพบุรุษ ก็ไม่สมควรอยู่ในบ้านในแผ่นดินนี้ที่เรียกว่าประเทศไทยนี้ ผมเห็นด้วยกับคุณพงษ์พัฒน์ทุกประการครับ แต่ประเด็นนึงที่มันเป็นความจริงในวันนั้น16 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเกิดขึ้นข้างนอกหอประชุมที่จัดงานนาฏราชในขณะนั้นคือ คนเสื้อแดงและทหารปะทะต่อสู้ห่ำหั่นกันจนถึงแก่ชีวิตไปแล้วจำนวนมากในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกันนั้น จากการพูดเชิงเปรียบเทียบของคุณอ๊อฟทำให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าใครสักคนในประโยคนี้
" ถ้ามีใครซักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ และก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน"
ใครคนนั้นที่คุณอ๊อฟพูดถึงคือคนเสื้อแดง ตรงนี้เองที่มันค้านกับความรู้สึกผม ว่า คุณจะตัดสินทุกคนว่าเค้าคิดอะไรได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ไช่ตัวเขาไม่ได้เปิดสมองเขาดูความคิดเขา ผ่าหัวใจเค้าดู อาจมีหรืออาจไม่มีคนอย่างว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงตอนนั้น แต่มันถูกต้องหรือ ที่ไปตัดสินเหมารวมว่าทุกคนในกลุ่มเสื้อแดงเป็นอย่างไรคิดอย่างไร
“ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ"
ตรงเช่นกันที่ผมมองว่าทุกคนเข้าใจตรงกัน ว่าคุณอ๊อฟกำลังสื่อสารกับคนเสื้อแดง กำลังบอกว่าถ้าเกลียด ไม่รักพ่อก็ออกไปซะ หากว่าคนที่ตายตอนนั้นเค้าดันตอบได้ว่าเค้าก็ รักพ่อ เหมือนกันละครับ?
การที่ผมทวิตเรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วงหรือปองร้ายสถาบันอันสูงสุดของประเทศเราแต่อย่างไร เพียงแค่ความต้องการของผมนั้นเพียงแค่จะบอกสังคมว่า สองปีที่แล้วมีคนไทยตาย ด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันบนแผ่นดินที่เรายืนอยู่ด้วยกันนี้ ต้องการย้ำเตือนว่าเป็นการไม่ถูกต้องและไม่ยุติธรรมต่อคนตาย ที่เราไปตัดสินเขาด้วยความคิดของเราเอง ผมจึงบอกว่าเสียใจที่วันนั้นไม่มีความกล้าพอที่จะสวนกระแสไม่ลุกขึ้นปรบมือ เพราะ แม้ในมุมที่ดีของข้อความที่คุณอ๊อฟพูดเรื่องความรักพ่อความรู้สึกต่อพระเจ้าแผ่นดินของคุณอ๊อฟที่น่าเคารพคารวะยิ่งนั้น มันปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกด้านอีกมุมคือกำลังมีคนที่สูญเสีย พ่อและแม่ที่สูญเสียลูก ภรรยาที่สูญเสียสามี ลูกที่สูญเสียพ่อแม่เค้าเหล่านั้นก็เป็นคนไทยพอๆกับเราๆท่านๆ ผมจึงคิดว่าในมุมนี้ผมไม่อยากลุกขึ้นปรบมือเพราะนอกจากผมจะปรบมือให้กับความจงรักภักดีของคุณอ๊อฟความรักที่มีต่อพ่อความซาบซึ้งใจที่คนไทยมีต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว อาจมีคนคิดว่าผมกำลังละเลยที่จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต ผมกำลังเหมารวมและเหยียบย้ำซ้ำเติมเขาเหล่านั้นด้วยการลุกขึ้นปรบมือ ผมอาจจะเป็นคนที่ชอบคิดไปไกลเอง หากคุณอ๊อฟพูดในวาระอื่นที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่คนไทยกกลุ่มหนึ่งกำลังโดนตั้งข้อหาไม่จงรักภักดี ทั้งด้วยผังล้มเจ้าและวาทะกรรมมากมายจนสุดท้านเขาเหล่านั้นถึงแก่ชีวิต ผมจะยืนขึ้นปรบมือโดนสดุดีและไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆที่จะแสดงความภูมิใจและความจงรักภักดีเช่นกัน แต่ยิ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปมีการพิสูจน์ว่าผังล้มเจ้าเป็นเรื่องโอละพ่อ และข้อหาต่างๆต่อคนเหล่านั้นจับต้องไม่ได้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกเสียใจกับการกระทำในวันนั้น
ผมไม่ได้ต้องการจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับใครหรือต้องการจะห่ำหั่นกับผู้ใด ที่บอกว่าตนรักและต้องปกป้องสถาบันด้วยการมาตัดสินผมว่าไม่จงรักภักดี ไม่รักพ่อ คุณจะรู้หัวใจผมได้อย่างไร ผมจะรักพ่อน้อยกว่าคุณหากผมไม่ได้ประกาศออกไปว่าผมรักพ่อเหมือนที่คุณประกาศอย่างนั้นหรือครับ
ขอกราบขอโทษคุณ พงษ์พัฒน์นะครับที่ได้กล่าวถึงมากมายในบทความนี้ สุดท้ายที่อยากจะฝากถึงผู้ที่ได้อ่านข้อความของผมว่ากี่ชีวิตแล้วที่ถูกสังเวยไปเพราะข้อหาลมๆ ข้อหาไม่จงรักภักดี ข้อให้คิดให้เยอะๆสำหรับคนที่คอยจ้องจะจับผิดและคอยสงสัยคนอื่นว่าจงรักภักดีหรือไม่ แค่คุณตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของคุณ ชวนเค้าทะเลาะไปเรื่อยเรื่องสถาบัน นั้นก็คือคุณต่างหากที่เป็นฝ่ายดึงฟ้าลงต่ำและเป็นฝ่ายเริ่มกระบวนการทำร้ายสถาบันอย่างแท้จริงแล้ว
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก คุณ Rose Mary Pachara Thummol 's Facebook เมื่อ 12 เมษายน 2012 เวลา 22:38 น —
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=315499648524987&set=p.315499648524987
KP Page
May 16, 2012 - Public
จากดราม่า "น้องอั้ม" ถึง "รูปปั้นอ.ปรีดี"
เมื่อรูปถ่ายเด็กสาวกอดรูปปั้นอาจารย์ปรีดีกลายเป็นกระแสท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=412649698757011&set=a.189704504384866.41578.186714288017221
เมื่อรูปถ่ายเด็กสาวกอดรูปปั้นอาจารย์ปรีดีกลายเป็นกระแสท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=412649698757011&set=a.189704504384866.41578.186714288017221
No comments:
Post a Comment